‘ฤดูปลูก’ กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในส่วนของ ‘สวนผักคนจนเมืองหลวง’ ซึ่งในรอบนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีก 2 ชุมชน ได้แก่ “ชุมชนพูนทรัพย์” และ “ชุมชนทองกิตติ”
ทั้งสองชุมชนต่างก็เป็นสมาชิก “เครือข่ายสลัม๔ภาค” เช่นเดียวกันกับ “ชุมชนภูมิใจ” ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม “สวนผักคนเมือง” ซึ่งมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. ร่วมกันดำเนินการกับเครือข่ายสลัมสี่ภาค และมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือ มพศ. ด้วยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ทั้งสองมูลนิธิและเครือข่ายสลัมฯ เห็นพ้องกันว่า นอกจากจะสนับสนุนการดำเนินการต่อในส่วนของพื้นที่ 3 แห่งเดิม ทั้งชุมชนภูมิใจ ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ศูนย์พักคนไร้บ้าน “บ้านพูนสุข” จังหวัดปทุมธานี และอาคารสวัสดิการที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการคนจน “เลียบวารี” ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ในรอบนี้ยังจะขยายไปสู่อีก 2 ชุมชน คือชุมชนพูนทรัพย์ซึ่งอยู่ที่เขตสายไหม กรุงเทพฯ และชุมชนทองกิตติที่อยู่เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการ “สวนผักคนเมือง” ในส่วนของชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลปีนี้ถือว่าตั้งต้นล่าช้าเล็กน้อย โดยเพิ่งมีการจัดอบรมเรื่องการปรุงดิน การเพาะต้นกล้า การทำฮอร์โมนสำหรับบำรุงผัก และอื่น ๆ เพื่อการปลูกผักอินทรีย์ ไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในขณะที่ฤดูหนาวเริ่มต้นมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน
การอบรมใช้เวลาสองวัน โดยเริ่มต้นด้วยการแลกเปลี่ยนและปรับจูนสิ่งที่เป็นความคาดหวังและความมุ่งหมายของแต่ละฝ่าย ทั้งชุมชน องค์กรที่สนับสนุน ตลอดจนผู้สอน ซึ่งคืออาจารย์เกศศิรินทร์ แสงมณี หรือ “อาจารย์เติ้ล” จากนั้นฟังบรรยายเชิงทบทวนความรู้เล็กน้อย แล้วลงมือทำจริงกันทั้งการปรุงดิน การออกแบบแปลง การเพาะต้นกล้า การย้ายต้นกล้าลงดิน จนถึงการทำปุ๋ยและฮอร์โมนอาหารบำรุงพืชผัก


ทั้งนี้เนื่องจากถึงแม้จะเป็นชุมชนใหม่ในรอบนี้ แต่แท้ที่จริง ทั้งชุมชนพูนทรัพย์และชุมชนทองกิตติ ต่างก็เคยเป็นลูกศิษย์เก่าของอาจารย์เติ้ลมาก่อน กล่าวคือ ทั้งสองชุมชนได้เคยเข้าร่วมกิจกรรมสวนผักคนเมืองมาแล้ว เมื่อช่วงหลายปีก่อน ตั้งแต่ก่อนยุคโควิด แต่ไม่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยสาเหตุต่าง ๆ
ในครั้งนี้ ทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้อำนวยการ มกย. จึงย้ำขอคำมั่นว่า สำหรับชุมชนที่มาใหม่จะต้องทำจริงไม่เลิกราง่าย ๆ โดยที่หากเกิดปัญหาใด ครั้งนี้มีการจัดระบบพี่เลี้ยงเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาไว้แล้ว ส่วนทางด้านของชุมชนเดิมก็ถูกตั้งโจทย์ท้าทายในตั้งเป้าหมายด้วยว่าจะพัฒนายกระดับงานต่อไปอย่างไร ไม่เพียงปลูกผักไปเรื่อย ๆ เท่านั้น


ภายหลังการอบรมเสร็จสิ้นลง ทั้งรายเก่าและรายใหม่ต่างจึงกลับไปเร่งเตรียมการเพื่อให้ทันกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสร้างสวนผักอินทรีย์ขึ้นมา


ในส่วนของชุมชนภูมิใจ สมาชิกชาวสวนผักที่มีกัน 11 รายก็ต้องจัดการแปลงกันใหม่ เนื่องจากดินเดิมผ่านการใช้งานมาหลายรอบจนอินทรีย์วัตถุเริ่มหมด จนให้ผลผลิตได้ไม่ดีเท่าในช่วงระยะแรกที่เริ่มปลูกเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว ทั้งนี้ สำหรับบางคนที่ดำเนินการหมักดินและเพาะกล้ามาก่อนแล้ว จึงเริ่มนำต้นอ่อนลงแปลงได้ แต่บางคนก็ยังอยู่ระหว่างพยายามเก็บรวบรวมเศษใบไม้เพื่อนำมาใช้เป็นวัสดุหมักดินและคลุมแปลง


ส่วนที่ศูนย์พักคนไร้บ้านบ้านพูนสุขต้องจัดการสะสางพื้นที่ปลูกส่วนกลางบางส่วน เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดการทิ้งร้างไปช่วงระยะหนึ่ง ด้วยเหตุไม่มีใครอยากทำ และเปลี่ยนไปเน้นปลูกบริเวณหน้าห้องตนเองที่สามารถเก็บกินได้มากกว่า ดังนั้นกรณีของศูนย์พักคนไร้บ้านบ้านพูนสุขเสมือนต้องกลับไปเริ่มต้นวางระบบการจัดการเรื่องพื้นที่ปลูกและวางแผนการดำเนินการกันใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่อง “คนปลูกไม่ได้กิน-คนกินไม่ได้ปลูก” ที่ทางชุมชนภูมิใจเคยประสบมาก่อนแล้ว จนกระทั่งเกิดการวางระบบจัดสรรที่ดินส่วนกลางแล้วแบ่งแปลงให้สมาชิกชุมชนที่พร้อมรับผิดชอบการทำสวนผักอินทรีย์เช่าทำ เพื่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ในผลผลิตที่เกิดขึ้น



สิ่งที่ต้องทำควบคู่กับการสะสางพื้นที่ปลูกส่วนกลางจึงได้แก่การประชุมหารือกันเพื่อออกแบบระบบและออกแบบแปลงไปพร้อมกัน ซึ่งสำหรับชุมชนใหม่ก็ต้องดำเนินการขั้นตอนเดียวกันนี้ด้วย


จึงคงมีแต่เพียงพื้นที่เลียบวารีที่ไม่ต้องเตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินการปลูกมาอย่างต่อเนื่อง
