เทศบาลเมืองมหาสารคาม นำ ‘ไจก้า’ เข้าเยี่ยมชมสวนผักคนเมือง ‘ชุมชนเครือวัลย์ 2’ ยืนยันสนับสนุนต่อและขยายผลเป็นต้นแบบ

ที่ศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมือง ชุมชนเครือวัลย์ 2 ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของ “พิทักษ์ เวียงจันทร์” ประธานชุมชน เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้มีตัวแทนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือไจก้า (Japan International Cooperation Agency-JICA) เข้ามาเยี่ยมชม ตามการนำพาของตัวแทนจากเทศบาลเมืองมหาสารคาม ซึ่งมีนายสมศรี แสนทวีสุข รองปลัดเทศบาล เป็นหัวหน้าคณะ

นอกจากนั้นยังมีแกนนำจากศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองชุมชนบ้านแมด ชุมชนโพธิ์ศรี 1 ชุมชนตักสิลา 1 และชัยสิทธิ์ แนวน้อย ผู้ประสานงานหลักโครงการสวนผักคนเมืองชุมชนเมืองมหาสารคาม ผู้เป็นเจ้าของสวนดินแลไม้ มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย หลังจากที่ได้ช่วยเตรียมงานมาก่อนหน้าแล้ว เนื่องจากแท้ที่จริง งานต้อนรับชาวคณะจากไจก้าครั้งนี้ถือว่าเป็นงานของสมาชิกสวนผักคนเมืองมหาสารคามทั้งหมด

ว่าที่ร้อยตรีพัฒนายุทธ เพ็งบุญ ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม สำนักงานเทศบาลเมืองมหาสารคาม เปิดเผยว่า กิจกรรมดังกล่าวนี้เกิดขึ้นตามการนำเสนอของเทศบาลเมืองมหาสารคาม ภายหลังจากที่คณะผู้บริหารของเทศบาลได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในจำนวนที่กำหนดไว้รวม 4 ครั้ง เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยทางคณะผู้บริหารได้นำเสนอประเด็นสวนผักคนเมืองต่อไจก้า ให้เป็น 1 ใน 3 โครงการย่อย ร่วมกับประเด็นเศรษฐกิจเรื่องข้าวเม่าอัตลักษณ์ท้องถิ่น และประเด็นผู้สูงอายุใน ‘โครงการ ฒ’ 

“ทางคณะผู้บริหารไปนำเสนอโครงการย่อย และต่อยอดที่เขาเสนอ ดูว่ามีประเด็นไหนที่จะเชื่อมโยงกับประเด็นต่าง ๆ ที่ไปดูงานที่ญี่ปุ่น และมีการถอดบทเรียน ทางไจก้าก็มาติดตามเมื่อวันที่ 26-28 พฤศจิกายน ประเด็นสวนผักคนเมือง เรานำเสนอพื้นที่ชุมชนเครือวัลย์ 2 เป็นพื้นที่ขยาย อยู่ที่สวนของ ‘พ่อพิทักษ์’ (เวียงจันทร์) เป็นแปลงระดับชุมชน เราออกแบบกิจกรรมให้ทางไจก้าได้เห็นในเรื่องของการที่จะขยายสวนผักคนเมือง ซึ่งทางไจก้ามาดูจะเป็นแปลงที่ 4 ให้เห็นการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง” ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม หรือที่สมาชิกสวนผักคนเมืองเรียกกันติดปากว่า ‘ผอ.โต’ กล่าว

ผอ.โตเล่าด้วยว่า ในวันที่ไจก้ามาดูงาน พ่อพิทักษ์ได้เกริ่นนำเรื่องการเข้าร่วมโครงการสวนผักตั้งแต่เป็นโครงการร่วมกับกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมีการพัฒนาความรู้ผ่านโครงการที่ทำร่วมกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. รวมทั้งได้เล่าถึงความเป็นมา การดำเนินการ สภาพพื้นที่และความได้เปรียบของชุมชน ซึ่งมีตลาดชุมชนอยู่ที่วัดเครือวัลย์ เปิดตลาดทุกเย็นของวันพฤหัสและเช้าวันอาทิตย์ โดยสวนผักคนเมืองจะนำผลผลิตไปจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง

“ชุมชนเครือวัลย์ 2 ถือเป็นชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท เป็นคนดั้งเดิมและมีพื้นที่ตรงนี้ และตอนนี้เมืองกำลังรุกไล่เข้ามาในพื้นที่ และขยายเมืองมาสู่พื้นที่เขา พ่อพิทักษ์ยังได้เล่าถึงส่วนที่ตัวเอง ในฐานะประธานคณะกรรมการสถานศึกษา กำลังจะนำแนวคิดสวนผักคนเมืองเชื่อมโยงกับสถานศึกษา คือการนำผักอินทรีย์สู่โรงเรียนเทศบาลบ้านค้อ โรงเรียนระดับประถม สังกัดเทศบาล และตั้งอยู่ตรงข้ามกับแปลงสวนผักคนเมือง เพื่อให้เด็กได้มาเรียนรู้ผ่านการทำเวิร์กชอป ซึ่งทางไจก้าให้ความสนใจและสอบถาม รวมทั้งนำเสนอหนังสือ ซึ่งจัดทำโดย มกย. ให้กับทางไจก้าได้ทราบ และกล่าวว่า มีภาพ มีข้อมูล มีบทเรียน และประสบการณ์อยู่ในเรื่องราวตรงนั้น ซึ่งทางไจก้าค่อนข้างให้ความสนใจมาก”

ทางด้านพ่อพิทักษ์เล่าอย่างภูมิใจว่า เขาได้เปิดหนังสือ ‘เกษตรอินทรีย์ในเมือง เรื่องราวการสร้าง “สวนผักคนเมือง” ที่ให้ผลลัพธ์มากกว่าผัก’ หน้าที่มีทั้งเนื้อหาและรูปภาพนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสวนผักคนเมืองของชุมชนเครือวัลย์ 2 ให้ทางไจก้าดู “เพื่อเป็นการยืนยันว่า เรามีเอกสารอ้างอิงว่า เราเคยไปศึกษาดูงานที่ มกย. แล้วมาทำ ทางไจก้ายกนิ้วโป้งให้เลย”

จากนั้นพ่อพิทักษ์เล่าต่อไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวว่า “เขามาดูกิจกรรมที่ผมดำเนินการเรื่องสวนผักคนเมือง ผมก็เล่าความเป็นไปจากการไปศึกษากับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนฯ ได้ความรู้เอามาถ่ายทอดในชุมชน ได้ปลูกผักกินในครัวเรือน มีกลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มเปราะบาง คนพิการมาร่วมช่วยกันทำกิจกรรม มีสวนหลังบ้านที่ทำเป็นแปลงรวมของชุมชน โดยทางเทศบาลสนับสนุนให้ผมไปอบรมดูงานที่ภาคีเครือข่ายสวนผักคนเมืองที่สุรินทร์ ขอนแก่น และกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนฯ ทางไจก้าชมว่าเราทำได้ดี”

พ่อพิทักษ์เผยด้วยว่า ตัวเขายังได้พาคณะผู้มาเยือนไปเยี่ยมชมแปลงรวมบริเวณหลังบ้าน และสาธิตการปลูกต้นคะน้าและบร็อคโคลี่บนแปลงยกสูง โดยทางไจก้ามีส่วนร่วมปลูกผักด้วย และสำหรับอาหารมื้อกลางวันที่จัดเตรียมต้อนรับคณะทั้งหมด ได้มีการนำผลผลิตในสวน อาทิ ผักกวางตุ้ง ต้นหอม และผักคะน้า มาประกอบอาหาร 2 รายการ คือ อ่อมไก่กับผัดผักคะน้า พร้อมอาหารว่างเป็นข้าวต้มมัดโบราณ

“ในระหว่างเยี่ยมชมแปลงรวมบริเวณหลังบ้าน ซึ่งเป็นหนองสาธารณะประจำของชุมชน ทางไจก้าชมว่า สถานที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกผัก ซึ่งมีแหล่งน้ำ และยังสอบถามว่าหนองนี้สามารถเลี้ยงไข่ผำได้หรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้าที่ทางเทศบาลได้นำคณะไจก้าดูงานเลี้ยงไข่ผำที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แต่สภาพของหนองทั้งกว้างและเลี้ยงปลาจำนวนมาก ไม่สามารถเลี้ยงไข่ผำได้ เพราะปลาจะกินหมด ซึ่งทางเทศบาลแจ้งว่าจะจัดหาสถานที่เลี้ยงไข่ผำให้” พ่อพิทักษ์เล่า

ในประเด็นเดียวกันนี้ ผอ.โตเสริมว่า ทางไจก้าพูดถึงความเป็นไปได้ที่ทางสวนผักคนเมืองจะขยายไปสู่การเลี้ยงไข่ผำ ซึ่งเป็นหนึ่งในการเชื่อมโยงที่น่าสนใจ

“แต่ในส่วนของเราได้ทำให้ทางไจก้าเห็นว่า แปลงของเรามีอะไรบ้าง นอกจากเวิร์กชอปเรื่องการปลูก และพิเศษขึ้นมาในชุมชนเครือวัลย์ 2 คือการปรุงอาหารจากผักในแปลงของเรา และทางไจก้าได้มาลองเวิร์กชอป และค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควรกับการได้ลองทำ

“เขามองว่า นี่อาจจะเป็นประเด็นหนึ่งในเรื่องของการได้เล่าประสบการณ์ ในการต่อยอดเรื่องการพัฒนาของสังคมเมือง นอกจากการปลูก การเตรียมดิน การจำหน่าย อาจจะเป็นเรื่องการแปรรูป การเวิร์กชอปทำอาหารจากผัก เป็นประเด็นที่ทางไจก้าได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า โจทย์ต่อไปของเราอาจจะต้องมีการเวิร์กชอป แล้วทางไจก้ามีคำถามให้ทางสวนผักคนเมืองทั้งโครงการว่า เรามีความต้องการเรื่องของอาสาสมัครหรือไม่ ทั้งการส่งเสริมการปลูก หรือส่งเสริมการขาย ส่งเสริมการเกษตรในส่วนของสวนผักคนเมือง ทางไจก้าจะได้ส่งผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่จะมาเป็นอาสาสมัครที่จะมาช่วยขับเคลื่อนตรงนี้ในส่วนของโครงการไจก้าที่ร่วมกับเรา”

พ่อพิทักษ์บอกเล่าตรงกันว่า ในช่วงของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตัวแทนไจก้าได้เสนอให้ความช่วยเหลือ “ทางไจก้าถามว่าอยากได้อะไรช่วยเหลือจากทางไจก้า ผมก็เลยว่าอยากได้เทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องสวนผักมาด้วย ทางไจก้าก็ว่า ถ้าคิดอะไรยังไม่ออกก็ฝากบอกทางเทศบาลไว้ก็ได้ ท่านสั่งไว้อย่างนี้ แกอัธยาศัยดี”

สำหรับการเข้ามาสนับสนุนจากไจก้านั้น เกิดขึ้นสืบเนื่องจากเทศบาลเมืองมหาสารคามได้รับเลือกจากไจก้าให้เป็นตัวแทนท้องถิ่นของภาคอีสาน ในการเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพเพื่อการฟื้นฟูท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยมีตัวแทนจากภาคต่าง ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ภาคเหนือคือเทศบาลนครนครสวรรค์ ภาคใต้คือเทศบาลเมืองกระบี่ และภาคกลางคือเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี

ว่าที่ร้อยตรีพัฒนายุทธเปิดเผยถึงขั้นตอนต่อไปว่า จากโจทย์ที่ทางไจก้าให้มาจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม ปีหน้า เพื่อนำเสนอกับทางไจก้าอีกครั้ง

“เหมือนกับการติดตามว่า หลังจากเราเสนอโครงการย่อยเสร็จแล้ว ไปดูงานที่ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว มีการถอดบทเรียนแล้ว เรากลับมาทบทวนสิ่งที่เราสนใจจะพัฒนาต่อยอดอย่างไรบ้าง ซึ่งเรายืนยันเรื่องของสวนผักคนเมือง ว่าจะให้เป็นต้นแบบของโครงการย่อยต่อไป เพราะเรามองว่าสวนผักคนเมืองจะเป็นต้นแบบให้กับเทศบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ระดับภาคอีสาน เพราะเราเป็นตัวแทนภาคอีสานที่จะไปขยายงานต่อในเรื่องของเกษตรอินทรีย์ในเมือง เรายืนยันการทำงาน รวมทั้งขับเคลื่อนตรงนี้ด้วย” ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม สำนักงานเทศบาลเมืองมหาสารคาม กล่าวอย่างหนักแน่น