จากสรุปงาน “สวนผักคนเมือง” ต่อยอดสู่ “การพัฒนาเมือง” มุมคิดของผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ เพ็งบุญ

“ถ้าติดงานหรือติดภารกิจ ถือว่าขาดโอกาสอย่างมาก” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ เพ็งบุญ ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น เพื่อบ่งบอกว่า การที่ตัวเขาสามารถร่วมเดินทางมากับสมาชิกสวนผักคนเมืองจากจังหวัดมหาสารคาม เพื่อร่วมประชุมสรุปการทำงานเกี่ยวกับ “สวนผักคนเมือง” ของสมาชิกสวนผักคนเมืองจากภาคอีสาน ซึ่งประกอบด้วย 3 จังหวัด นอกจากมหาสารคามแล้ว ยังมีจังหวัดขอนแก่นและสุรินทร์ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นโอกาสดีที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ เพ็งบุญ ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม

ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมในส่วนของการร่วมแลกเปลี่ยนและเยี่ยมชมแปลงผักชุมชนภูมิใจ เขตคลองสามวา และอาคารสวัสดิการที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการคนจนเลียบวารี เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันแรก ตลอดจนถึงการได้เข้าอบรมและประชุมสรุปการทำงานของสมาชิกสวนผักคนเมืองภาคอีสานในช่วงกว่า 1 ปี ที่ผ่านมา ณ มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. ในอีกสองวันต่อมา

พบต้นแบบการพัฒนาชุมชนจากชุมชนภูมิใจ

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธกล่าวถึงการเยี่ยมชมแปลงชุมชนภูมิใจว่า ความน่าสนใจของชุมชนภูมิใจคือความพยายามสร้างโอกาส ภายใต้สภาวะหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และของชุมชนภูมิใจเอง ได้เห็นการเรียนรู้เรื่องการปลูกผักในพื้นที่บ้านมั่นคง การดูแลแปลงใครแปลงมัน ความหลากหลายของพืชผัก เป็นการเสริมสร้างพลังให้กับคนจนเมืองในการที่จะมีรายได้หรือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

จากการที่ได้ไปพบเห็นและสัมผัสรับรู้เรื่องราวของชุมชนภูมิใจ ทำให้เขาเล็งเห็นว่าอาจนำรูปแบบหรือบทเรียนนี้มาดำเนินการในพื้นที่ของเทศบาลเมืองมหาสารคามได้ และถ้ามีโอกาสอาจจะพาคณะของชุมชนในกลุ่มย่อยที่มีลักษณะใกล้เคียงกันไปดูงานอีกครั้งหนึ่ง

“เราเองมีพื้นที่เหมือนบ้านมั่นคง หรือคนจนเมือง อยู่ในชุมชนเป้าหมาย คือชุมชนโพธิ์ศรี มีกลุ่มเปราะบางเยอะเหมือนกัน แต่จะหนักหนากว่า เหมือนกับสลัมเลยครับ ที่ไม่สามารถจะฟื้นฟูได้ และยังมีปัญหาเรื่องที่ดิน คือไม่มีเอกสารสิทธิ์ การสร้างบ้านก็ไม่ใช่รูปแบบเดียวกัน เป็นบ้านที่ต่างคนต่างสร้างพอให้อยู่อาศัย ยังมีคนจน และเป็นแหล่งยาเสพติด คนในชุมชนรับจ้างรายวัน แตกต่างจากภูมิใจที่ถูกรื้อไล่ที่ มีความคาดหวังเรื่องที่อยู่อาศัยที่มั่นคง การสร้างอาชีพให้ตัวเอง ของเราเป็นแหล่งรวมปัญหา สวนผักคนเมืองอาจจะตอบโจทย์ให้เขาลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ อาจจะมีสิ่งที่เป็นจุดขายให้กับคนจนเมืองตรงนี้ด้วย และมีความโดดเด่น คือ มีสินค้าอัตลักษณ์ของสารคาม คือ ข้าวเม่า เป็นแหล่งผลิตข้าวเม่า” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ อธิบายสภาพของชุมชนโพธิ์ศรีที่อยู่ในพื้นที่การดูแลของเทศบาลเมืองมหาสารคาม

เห็นแนวทางรับมือกับประชากรแฝง

ผอ. กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคามยังได้แนวทางต้นแบบจากอาคารสวัสดิการที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการคนจนเลียบวารีที่อาจจะนำมาใช้ตอบโจทย์ปัญหาเรื่องประชากรแฝงที่ทางเทศบาลเมืองมหาสารคามประสบอยู่ กล่าวคือ เนื่องจากเทศบาลเมืองมหาสารคามเป็นพื้นที่การศึกษา ทำให้มีปัญหาประชากรแฝงคล้าย ๆ กับกรุงเทพฯ โดยที่ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เทศบาลเมืองมหาสารคามมีประชากรแฝงมากถึง 30,000-40,000 คน คิดเป็น 25-30% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ด้านหนึ่งเทศบาลฯ มีความพยายามที่จะให้ประชากรแฝงเข้ามาอยู่ในพื้นที่เพื่อเป็นประชากรหลักในการดูแล และบริหารจัดการตามระเบียบกฎหมาย ขณะเดียวกันก็มีประเด็นเรื่องกลุ่มคนไร้ที่อยู่ ไร้บ้าน หรือคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยแบบเช่าในราคาถูก ที่จำเป็นจะต้องดูแล

“อยากนำแนวคิดของเลียบวารีมาแก้ปัญหาประชากรแฝง ซึ่งมีเงื่อนไขในการทำสวนผักคนเมือง และการแก้ปัญหาความยากจน อาจจะทำเชิงพื้นที่ มีห้องเช่าราคาถูกให้กับประชากรแฝง และคนที่เข้ามาในพื้นที่ หรือรับจ้างทำงานในชุมชน นำบทเรียนของเลียบวารีมาคัดกรอง เรามีพื้นที่เมืองอยู่แล้ว และมีพื้นที่แปลง อาจจะใช้ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เขาจะดูแลในอนาคตต่อไป เพราะตอนนี้การดูแลแปลงสวนผักคนเมืองระดับเมืองของเราใช้ชุมชนมาดูแล อนาคตถ้าได้กลุ่มคนเหล่านี้มาดูแล อาจมีความยั่งยืนมากขึ้น ได้ใช้ประโยชน์มากขึ้น เป็นแหล่งเรียนรู้ ทั้งการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ความมั่นคงด้านอาหาร คู่ขนานกันไป” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ เล่าให้ฟังถึงภาพแผนงานที่เริ่มปรากฏขึ้นในหัว ภายหลังจากร่วมกิจกรรมในวันแรก

เทศบาลร่วมสร้าง “สวนผักคนเมือง” ตั้งแต่ปี 2566

ในส่วนของงาน “สวนผักคนเมือง” ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม เปิดเผยว่า ทางเทศบาลเมืองมหาสารคามได้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานสวนผักคนเมืองตั้งแต่ช่วงปี 2566-2567 เริ่มด้วยโครงการสร้างสุขภาวะเพื่อคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนเทศบาลเมืองมหาสารคาม ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งได้นำแนวทางสวนผักคนเมืองของ มกย. มาดำเนินโครงการฯ ในประเด็นความมั่นคงด้านอาหาร และอาหารปลอดภัย โดยหารือกับสุเมธ ปานจำลอง จากสภาฮักแพง เบิ่งแงง คนมหาสารคาม และสถาบันจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน ในการออกแบบกิจกรรม

โครงการดังกล่าวมีการแบ่งออกเป็น 4 กิจกรรม คือ 1) เวทีให้ความรู้เรื่องปลูกเมือง ปลูกชีวิต โดยสุเมธ ปานจำลอง ในเรื่องอาหารปลอดภัย สารเคมีตกค้าง และการทำเกษตรอินทรีย์ 2) การปลูกผักระดับครัวเรือนทั้ง 31 ชุมชนในเขตเทศบาล เป้าหมาย 350 ครัวเรือน 3) การติดตามและเติมเต็มในเรื่องของการปลูก การดูแลรักษา การจำหน่าย และบริโภคในครัวเรือน รวมทั้งการประเมิน ซึ่งใช้รูปแบบการประกวดแข่งขันและมอบรางวัลเป็นวัสดุสำหรับใช้ในการปลูกผัก และ 4) การถอดบทเรียนเพื่อขับเคลื่อนงานต่อในอนาคต โดยมีชัยสิทธิ์ แนวน้อย แกนนำสมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองมหาสารคาม และสถาบันจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน ร่วมดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นโครงการฯ

การร่วมฟังบรรยายเรื่อง “แนวคิดเกษตรอินทรีย์ในเมือง”

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ เผยอีกว่า หลังจบโครงการแรก ทางเทศบาลฯ ก็ได้เข้าไปร่วมต่อยอดกับสถาบันจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน ซึ่งชัยสิทธิ์ แนวน้อยดำเนินโครงการผลิตและบริโภคผักปลอดสารพิษในครัวเรือน ได้รับงบประมาณจาก สสส. ซึ่งเป็นโหนดหนึ่งของมหาสารคาม ในพื้นที่เป้าหมายคือชุมชนตักสิลา เป็นเขตนักศึกษามีหอพัก ไม่มีพื้นที่ปลูกผัก เพื่อส่งเสริมชุมชนและครัวเรือนให้ปลูกผัก แม้กระทั่งระดับหอพักที่มีนักศึกษาได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งโครงการสวนผักคนเมือง ร่วมกับสถาบันจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน โดยการขับเคลื่อนของ มกย. ในช่วงรอยต่อระหว่างปี 2566-2567 เพื่อตั้งศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองในชุมชน 4 แห่ง

“เป็นการเติมเต็มความเชื่อมั่นและความมั่นใจในการนำแนวคิดของ มกย. มาปรับใช้กับของเรา” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ กล่าว

สานต่อและขยายงาน “สวนผักคนเมือง” ต่อเนื่อง

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ เล่าอีกว่า ด้วยเป้าหมายเพื่อให้งานสวนผักคนเมืองเกิดความยั่งยืน เทศบาลฯ ยังมีการดำเนินงานต่อใน 2 ส่วน คือ โครงการพัฒนาศักยภาพเพื่อการฟื้นฟูท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือไจก้า (JICA) และการนำโครงการสวนผักคนเมืองสู่แผนพัฒนาท้องถิ่น

ในส่วนแรก สิ่งที่เทศบาลฯ ดำเนินการก็คือ หลังสิ้นสุดโครงการสร้างสุขภาวะเพื่อคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ก็ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อไจก้าเป็นโครงการย่อย ซึ่งได้รับเลือกเป็นตัวแทนท้องถิ่นของภาคอีสาน ร่วมกับตัวแทนภาคเหนือคือเทศบาลนครสวรรค์ ภาคใต้คือเทศบาลเมืองกระบี่ และภาคกลางคือเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น

ทั้งนี้ โครงการพัฒนาศักยภาพเพื่อการฟื้นฟูท้องถิ่นอย่างยั่งยืนเป็นโครงการความร่วมมือด้านเทคนิคโครงการใหม่ของไจก้า เริ่มต้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย ในปัญหาสังคม เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การย้ายถิ่นฐานของคนรุ่นใหม่จากพื้นที่ชนบท ซึ่งล้วนเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศจึงร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

“กำลังทำแผนที่จะเสนอเป็นโครงการย่อย 3 โครงการ ช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2569-2571 เพื่อให้ไจก้าพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เป็นโครงการแลกเปลี่ยนเรื่ององค์ความรู้ เรื่องผู้เชี่ยวชาญ เรื่องเทคโนโลยี เราได้มีการศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ส่งผู้เชี่ยวชาญมาในพื้นที่เรา เพื่อที่จะมาเติมเต็มความรู้และมาสนับสนุน เราจะนำโมเดลหรือรูปแบบนี้เป็นต้นแบบให้กับท้องถิ่นทั่วประเทศ เลยใช้โครงการนี้นำร่องในเรื่องของความยั่งยืน ช่วงนี้เป็นช่วงของการศึกษาดูงาน มาแลกเปลี่ยนกับทางญี่ปุ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นก็ส่งผู้เชี่ยวชาญมาดู มาติดตามในพื้นที่ มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาสำรวจ ติดตามดูว่าโครงการย่อยทั้ง 3 มีจุดเด่น-จุดอ่อนอะไรบ้าง” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ กล่าว

ผนวกสู่แผนพัฒนาท้องถิ่น และเน้นกลุ่มเปราะบาง

ขณะที่ในส่วนของการนำโครงการสวนผักคนเมืองเข้าสู่แผนพัฒนาท้องถิ่น ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม กล่าวว่า เพื่อให้เกิดการสนับสนุนและการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องไปสู่นโยบายของเทศบาล ซึ่งว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ ฟันธงว่า การที่ “สวนผักคนเมือง” จะเป็นนโยบายของเทศบาลนั้น “ไม่ยาก เพราะเราปลูกผักไปเน้นเรื่องของนโยบาย การที่จะสร้างอาหารปลอดภัย เมืองที่ผลิตได้ และเป็นเมืองเศรษฐกิจ อีกประเด็นคือเมืองของการเอื้ออาทร เพราะมีอีกโครงการหนึ่งที่เราต่อยอด คู่ขนานไปกับโครงการสวนผักคนเมืองของ มกย. คือ โครงการเสริมสร้างและพัฒนาผู้เปราะบางเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม นำสวนผักคนเมืองมาดำเนินการร่วมกับกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ 4 ชุมชนที่เป็นพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้ของเรา

“เราได้รับงบจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เราใช้สวนผักคนเมืองเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ของคนที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา เป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษา ตั้งแต่การปลูก การดูแล การขาย การสร้างรายได้ การเรียนรู้สิ่งที่คู่ขนานไปกับสิ่งที่เราทำในช่วงที่เราดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีภายนอก” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธกล่าว และระบุว่า ที่เหลือก็มีเพียงแต่ว่า ผู้บริหารจะกำหนดเรื่องสวนผักคนเมืองเป็นวาระการพัฒนาท้องถิ่น และประกาศอย่างชัดเจนเมื่อไร

“ตรงนี้อาจจะต้องขอความอนุเคราะห์ทาง มกย. ช่วยจุดประกาย เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น และเราจะเดินต่อด้วยภาคีเครือข่าย ด้วยการสร้างความร่วมมือ เป็นสิ่งที่จะการันตีว่า มีทั้งสองฝ่าย เทศบาลได้ มกย. เป็นพี่เลี้ยง และได้พื้นที่ท้องถิ่นในการนำร่อง เพื่อขยายแนวทางการพัฒนาในอนาคตต่อไป”

ต่อคำถามที่ว่า นายกเทศมนตรีเมืองมหาสารคาม ในฐานะผู้บริหารมีแนวโน้มที่จะรับเรื่อง “สวนผักคนเมือง” เข้าเป็นวาระหรือนโยบายของเทศบาลเมืองมหาสารคามหรือไม่ ไม่ว่าจะในแง่ของการสร้างเมืองอาหารปลอดภัย เมืองสวนผัก เมืองแห่งการผลิตอาหาร หรือเมืองสีเขียว ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม ตอบว่า

“ท่านนายกฯ เองท่านได้เป็นวาระหนึ่งแล้ว และท่านก็เป็นคนขับเคลื่อนนโยบายตรงนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น ท่านรับแน่นอนครับ ท่านให้ความสำคัญ ถ้าไม่รับคงไม่เสนอเป็นโครงการย่อยของไจก้า เพียงแต่ว่า อยากให้เติมเต็มมุมมองเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากท่านมาสายเชิงพาณิชย์ ท่านก็จะโฟกัสว่า อยากให้เกิดรายได้ที่ชัดเจน มีตัวเลขที่วัดได้ อันนี้เป็นโจทย์สำคัญของผู้ปฏิบัติงาน ของเครือข่ายด้วยที่เราจะสร้างความเชื่อมั่นเรื่องของการดำเนินธุรกิจอย่างไร เรื่องของตัวเลข หรือตัวชี้วัดความสำเร็จ เราปลูกประมาณ 4-5 ครั้ง ตัวเลขชัดเจน ตลาดชัดเจน มีข้อมูลชัดเจน การปลูกหรือการพัฒนามันสร้างรายได้ได้จริงๆ ในตัวชี้วัดตรงนี้”

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ ร่วมเป็นวิทยากรและต้อนรับคณะดูงานสวนผักคนเมืองจากจังหวัดขอนแก่น เมื่อ ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา

เชื่อมั่นว่า “สวนผักอินทรีย์” เหมาะกับเมืองมหาสารคาม

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองมหาสารคามอีกว่า เนื่องจากเทศบาลเมืองมหาสารคามเป็นหน่วยการศึกษา เฉพาะชุมชนเมืองมีหอพักประมาณ 300-400 แห่ง ซึ่งเทียบกับชุมชนเมืองจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานแล้ว ถือได้ว่าเป็นรองเพียงขอนแก่น แต่ถ้ารวมพื้นที่หอพักมหาวิทยาลัยรอบนอกที่มีเกือบ 2,000-3,000 แห่ง อาจจะจัดได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ

“ในฐานะเมืองนักศึกษา ประชากรถือว่ามีทักษะ มีความรู้ และมีความต้องการสร้างความปลอดภัย ซึ่งมีตัวชี้วัดคือ ตลาดเขียวที่ก่อตั้งมาได้ 20 ปีแล้ว แสดงว่า ตลาดมีความยั่งยืน โดยผู้ผลิตเป็นคนรอบนอกมาขายในตลาดเขียว และคนซื้อเป็นคนเมืองที่มีความตระหนัก ต้องการบริโภคอาหารปลอดภัย ถึงวันเปิดตลาดจะมีคนมารอเหมือนกับซิตี้ ฟาร์ม มาร์เกต ของ มกย. ซึ่งตลาดตั้งอยู่ในกลางเมืองที่ทุกคนเข้าถึง และเชื่อมั่นว่ามีอาหารปลอดภัยแน่นอน เอาอะไรมาขายก็ขายหมด แต่ทำไมเราไม่ปลูกกินเอง”

ผอ. กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม มีความเห็นว่า แต่ถ้าปลูกเอง ความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยย่อมจะมีมากกว่าซื้อ ทั้งยังมีผลด้านการลดรายจ่าย และได้ความสุข ดังนั้นเขาเชื่อว่า การขยายการปลูกและพื้นที่ปลูกมีความเป็นไปได้

แผนอนาคตว่าด้วยสวนผัก 3 ระดับ

ผอ. กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม เปิดเผยด้วยว่าได้วางแผนการทำงานสวนผักคนเมืองร่วมกับสุเมธและชัยสิทธิ์ไว้ 3 ระดับ คือ ระดับครัวเรือน ระดับชุมชน และระดับพื้นที่เมืองหรือพื้นที่ส่วนกลาง

สำหรับส่วนของครัวเรือนสามารถปลูกและลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ เหลือกินก็ขาย ใช้แนวคิดเหมือนกับทางมูลนิธิฯ ส่วนระดับชุมชนมีความเป็นไปได้ในส่วนของพื้นที่ว่างของคหบดีที่มีที่ดินมาก ซึ่งภายในเมืองมหาสารคามมีอยู่จำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ เมื่อดูจากแผนที่ภาษีพบว่า โดยสภาพเศรษฐกิจแล้ว หลายพื้นที่ไม่สามารถจะพัฒนาหรือปรับปรุงได้ จึงถูกปล่อยเป็นพื้นที่รกร้าง ซึ่งสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับชุมชน ตัวอย่างของเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วที่ชุมชนตักสิลา ซึ่งเจ้าของหอพักขายยอมให้ชุมชนใช้ที่ดินที่ประกาศขายมานาน แต่ยังไม่มีผู้ซื้อ ไปทำแปลงผักสร้างรายได้

สำหรับแปลงชุมชนลักษณะนี้จะมุ่งเน้นแบ่งปันเป็นหลัก ทั้งความรู้และอาหาร โดยชุมชนช่วยกันทำ มีผลผลิตให้กลุ่มเปราะบาง หรือใครก็สามารถหยิบกินได้ ในขณะที่พื้นที่ส่วนกลาง อย่างเช่นที่เลิงน้ำจั้น จะเน้นปลูกผักเพื่อขาย เพื่อสร้างมูลค่า และปลูกผักเชิงพัฒนา คือ พัฒนาคนให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และสามารถสร้างรายได้ เน้นผักที่ไม่สามารถผลิตได้ในช่วงฤดูฝน เช่น ขึ้นฉ่าย คะน้า ต้นหอม และผักชี เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยมุ่งเน้นขายที่ตลาดเขียว

ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ ผอ. กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม กล่าวด้วยว่า ในอนาคต หากพื้นที่ส่วนกลางที่เลิงน้ำจั้น หรือแปลงรวมที่ชื่อ “โพธิ์-เครือ-สิลา-แมด” ประสบความสำเร็จ จะขยายพื้นที่ทั้งในส่วนของราชการและคหบดี

“เราจะขยายในพื้นที่ชุมชนที่เป็นเป้าหมายในแผนของเราว่า พื้นที่ว่าง คหบดีที่จะให้ใช้ แม้กระทั่งพื้นที่ของราชการต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็ไปขอใช้ จะเป็นลักษณะของความร่วมมือกัน เช่น ถ้าส่วนราชการจะทำข้อตกลงร่วมกันว่า ขอพื้นที่ซัก 3 ปีนะ มาทำตรงนี้ ถ้าเอกชนก็จะทำสัญญาร่วมกันว่า ขอใช้พื้นที่ 3 ปีเพื่อที่ท่านจะเอาหลักฐานตรงนี้ไปใช้ลดหย่อนภาษีกับเทศบาลเราเอง เราก็จะเอาหลักฐานในการอ้างว่า ทำไมภาษีเอกชนเจ้านี้ถึงลดลง เพราะเขาให้ใช้ประโยชน์ แม้กระทั่งร่วมกัน ถ้าเขาอยากได้สวนผักในบ้านของเขา เราก็ไปทำให้ ร่วมกับชุมชนไปทำให้ เขาก็ได้ใช้ประโยชน์ด้วย สร้างอาชีพด้วย และสามารถที่จะพูดง่ายๆ ว่า ไปรับจ้างทำให้ด้วย ดีกว่าไปปลูกมะม่วง กล้วย ซึ่งเขาต้องจ้างคนมาปลูกอยู่แล้ว” ว่าที่ร้อยตรี พัฒนายุทธ อธิบายแผนงานในอนาคตของ “สวนผักคนเมือง” ของมหาสารคามที่คิดเอาไว้แล้ว

สวนผักส่วนกลางของเมืองมหาสารคามที่เลิงน้ำจั้น หรือแปลงรวมซึ่งมีการตั้งชื่อตามชื่อ 4 ชุมชนที่ร่วมกันดูแลว่า “โพธิ์-เครือ-สิลา-แมด”

พร้อมร่วมมือกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไป

ส่วนความเป็นไปได้หรือทิศทางที่จะร่วมงานกับ มกย. ในเรื่องอื่น ๆ เช่น การพัฒนาเมือง ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม กล่าวว่าเป็นไปได้มาก เนื่องจากเทศบาลฯ ยังต้องพึ่งพาชุดองค์ความรู้ หรือเรื่องของความร่วมมือ โดยเฉพาะประสบการณ์

“มูลนิธิฯ เราเห็นแล้วว่ามีประสบการณ์ ต่อไปในการที่เราจะกำหนดวาระเรื่องของการพัฒนาสวนผักคนเมืองเป็นวาระของท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเพื่อรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย รวมทั้งที่เราจะร่วมกับทางไจก้าด้วย เราเองก็ต้องร่วมมือกับทางเกษตรกรรมยั่งยืน อนาคตในระยะสั้นคงจะได้เชิญทางมูลนิธิฯมาดูแปลง มาดูพื้นที่ของเรา และอาจเกิดความร่วมมือ การสนับสนุนที่เป็นภาคีเครือข่าย ร่วมกับหน่วยงานระดับเชิงพื้นที่ และเครือข่ายเชิงพื้นที่ เราจะมีเครือข่ายของมูลนิธิฯ ด้วย” ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคามกล่าวอย่างหนักแน่น

แวะชมพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จ.ปทุมธานี และ ถ่ายรูปร่วมกับคณะสรุปงานสวนผักคนเมืองภาคอีสานทั้งหมด ณ สวนของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน