
วันสุดท้ายของกิจกรรม “แลกเปลี่ยนเรียนรู้และประมวลความรู้ ศูนย์การเรียนรู้สวนผักคนเมืองภาคอีสาน” ซึ่งสมาชิก “สวนผักคนเมืองภาคอีสาน” จำนวนหนึ่งจากจังหวัดขอนแก่น สุรินทร์ และมหาสารคาม ได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ ปริมณฑล ระหว่างวันที่ 26-27 กรกฏาคม 2568 มีการตั้งโจทย์ให้ผู้เข้าร่วมนิยามความหมายของสวนผักเมือง รวมทั้งสรุปปัญหาอุปสรรค ความท้าทาย และสิ่งที่อยากเห็นและทำในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า
โจทย์ดังกล่าวเป็นการบ้านที่มอบหมายกันตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 26 กรกฎาคม ภายหลังจากมีกิจการการเติมความรู้ใหม่และทบทวนความรู้เดิมกันไปเต็มวัน อย่างจุก ๆ ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย




หลังจากสมาชิกแต่ละจังหวัดรจับกลุ่มปรึกษาหารือกัน ในที่สุดก็ได้คำตอบให้ตัวแทนมานำเสนอ
สุรินทร์: สวนผักคือความสุข สุขภาพดี และชุมชนเข้มแข็ง
กมลภพ บุญเจือ ประธานชุมชนหนองบัว นำเสนอในฐานะตัวแทนศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองสุรินทร์ ว่า สมาชิกมีการให้ความหมายสวนผักคนเมืองคือสิ่งที่ทำให้สมาชิกในครัวเรือนและชุมชนมีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น รวมทั้งมีการพัฒนาในเรื่องของอาหาร สร้างโปรตีนจากพืช ลดการกินเนื้อสัตว์ และการสร้างเศรษฐกิจในชุมชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น
ส่วนสิ่งที่เป็นความท้าทายคือเรื่องการขยายศูนย์เรียนรู้ฯ เพื่อให้ชุมชนเข้าถึงมากขึ้น อีกทั้งจำเป็นต้องมีการเสริมความรู้วิทยากรเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนด้วย
ในขณะที่อุปสรรคอยู่ที่การยังขาดความรู้เพื่อแก้ปัญหาโรคพืช รวมทั้งขาดงบประมาณและอุปกรณ์ต่าง ๆ
สำหรับสิ่งที่อยากเห็นภายใน 1-3 ปี ได้แก่ การพัฒนาศูนย์เรียนรู้ฯ การพัฒนาองค์ความรู้เรื่องโรคพืช การพัฒนาวิทยากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ รวมถึงการวางแผนทำระบบปรับสภาพพื้นที่ เช่น พื้นที่น้อยปลูกได้มากต้องทำแบบไหน นอกจากนั้นยังตั้งเป้าที่จะสร้างเครือข่ายตลาดสีเขียว โดยเริ่มต้นเล็ก ๆ ในระดับชุมชนและตลาดออนไลน์ก่อน ขั้นต่อไปคือการแปรรูปผลผลิต
“ตอนนี้เกิดแล้ว เกิดจากการที่เรามาเรียนรู้ เราได้ทำโรงเรือน ตั้งศูนย์เรียนรู้ฯ ได้พัฒนาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ชุมชนสนใจเข้ามามากขึ้น เพราะเราทำให้เห็นในส่วนที่กินได้ แจกได้ ได้ความรู้ สร้างเครือข่ายให้มั่นคงมากที่สุด สนใจและขยายเครือข่ายออกไปให้มากขึ้น” กมลภพสรุปผลการทำงานของศูนย์เรียนรู้ฯ ที่ตั้งขึ้นภายในชุมชนหนองบัว เมื่อปี 2567 ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองแห่งแรกของเมืองสุรินทร์
ด้านนพรัตน์ ธนรุ่งเรืองอุดม หรือลุงแดง สมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองสุรินทร์ ปัจจุบันเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุรินทร์ กล่าวเสริมว่า
“ชุมชนหนองบัวเราจะไม่หยุด จะต่อยอดไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันเราทำดินปลูกสำหรับแจกจ่ายสมาชิกชุมชนด้วย เรามีพร้อมนะ สภาพน้ำโอเค หนองบัวเราทำดินไว้ 4 กอง กองละประมาณ 4 ตัน ตอนนี้เราสนับสนุนพี่น้องของเราทุกคนให้มีกิจกรรม คุณมีที่ก็เอาไป แต่เราขาด เราอยากได้เมล็ดพันธุ์แจกจ่ายพี่น้อง มีกระถางปลูก เพราะประธานชุมชนปลูกเยอะ”
ขณะเดียวกัน ชุมชนหนองบังยังมีวิสาหกิจชุมชน จึงคิดว่าแนวทางหนึ่งในการต่อยอดก็คือ การนำผักมาทำเป็นผักดองออกจำหน่าย
ส่วนเรื่องการผลักดันงานสวนผักคนเมืองให้ไปอยู่ในนโยบายระดับท้องถิ่น กมลภพกล่าวว่า ในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่จำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้เพิ่มมากขึ้น
“ถ้าเราแข็งแรงเมื่อไหร่ เขาต้องหันมามอง ตอนนี้เพิ่งเริ่มสร้างพื้นที่ส่วนกลางให้เห็นผลต่อไป”
สุดใจ มิ่งพฤกษ์ ประธานเครือข่ายพัฒนาชุมชนเมืองสุรินทร์ และในฐานะรองประธานชุมชนหนองบัว กล่าวเสริมด้วยว่า “แผนของเราต่อไป เราจะทำแผนชุมชน กระจายเรื่องนี้สู่ชุมชนทั้ง 33 ชุมชน ให้ทุกคนมีความเป็นเจ้าของ ไม่ได้อยู่ที่แค่ตัวเรา”


ขอนแก่น: การสร้างพื้นที่อาชีพ การพึ่งตนเอง และรักษาสิ่งแวดล้อม
พรรณา อรรคฮาต ตัวแทนศูนย์เรียนรู้ฯ แห่งที่ 2 ของจังหวัดขอนแก่น สรุปนิยามสวนผักคนเมืองว่าเป็นพื้นที่เรียนรู้การปลูกผักอินทรีย์เพื่อปลูกฝังวิถีชีวิตของชุมชนเมือง จากที่ปัจจุบันมีวิถีซื้อผักกินอย่างเดียว ให้กลายเป็นมีคลังอาหารให้กับชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ผลิตทั้งกินเอง ซื้อกิน และแบ่งปันให้กับกลุ่มที่มาเรียนรู้
นอกจากนั้นยังเป็นพื้นที่ของการร่วมกันทำกิจกรรม พักผ่อน และส่งเสริมการท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมสุขภาพ คุณภาพชีวิต เช่น ออกกำลังกาย ทำกิจกรรม และปลูกอาหารที่ปลอดภัย ซึ่งก่อให้เกิดความสุขทั้งในการปลูก แบ่งปัน และได้เพื่อนใหม่ ๆ สุดท้ายคือเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้ ลดรายจ่าย ส่งเสริมความรู้เพื่อประกอบอาชีพ ลดคาร์บอนในอากาศ นำเศษอาหารมาเพิ่มประโยชน์ เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม
ส่วนปัญหา อุปสรรค และความท้าทาย สำหรับศูนย์เรียนรู้ฯ โนนชัย 1 ที่เพิ่งก่อตั้งโดยพรรณาเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ยังขาดงบประมาณทั้งจากรัฐ เอกชน เพื่อพัฒนาสร้างเสริมสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารอบรม เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง รองรับนักท่องเที่ยว และกลุ่มศึกษาดูงาน การขาดวัตถุดิบและอุปกรณ์เตรียมการสอน-การปลูก เพื่อทำดินปลูกสำหรับใช้เองและจำหน่าย การขาดความรู้ความความแม่นยำในการวิเคราะห์โรค แมลง และโรคพืช และขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อใช้เป็นต้นทุนผลิตในศูนย์ฯ เช่น ระบบการจัดการน้ำ เครื่องพ่นปุ๋ยบำรุงพืช เครื่องพ่นสารไล่แมลง และเครื่องปั่นดินในแปลง
ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้ฯ โนนชัย 1 กำลังจะมีน้องใหม่ คือ ชุมชนเทพารักษ์ 5 ซึ่งมีอุปสรรคเรื่องการมีพื้นที่น้อย มีหินมาก มีปัญหาเรื่องคนมาขโมยผัก สุนัขมาคุ้ยเขี่ยแปลง และปัญหาแมลง
สำหรับความท้าทายของศูนย์เรียนรู้ฯ โนนชัย 1 เช่น อยากเป็นวิทยากรที่มีความชำนาญมากประสบการณ์ และขยายพื้นที่เพาะปลูก/ขยายครัวเรือน เนื่องจากชุมชนโนนชัย 1 ส่วนมากเป็นพื้นที่เมือง ไม่มีพื้นดิน โดยมีแปลงยกระดับ และปลูกเพิ่มให้มีความหลากหลาย
อีก 3 ปีข้างหน้า สิ่งที่สมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองขอนแก่นอยากทำและอยากเห็น ส่วนของชุมชนโนนชัย 1 พรรณาสรุป เช่น เป็นศูนย์ฯ ที่ครบวงจร ทั้งศูนย์เพาะชำ ศูนย์คัดแยกขยะที่มีอยู่แล้ว และศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ รวมทั้งรับทำแปลงยกระดับสำหรับผู้ที่ต้องการ มีดิน มีต้นกล้า และมีระบบน้ำ รวมทั้งให้คำปรึกษาสร้างเศรษฐกิจ เช่น ทำดินขาย การทำแปลง การทำน้ำหมัก ตลอดจนเชื่อมการทำงานในพื้นที่/ศูนย์เรียนรู้ฯ ขอนแก่น ไม่ว่าจะเป็นให้คำปรึกษาทางเศรษฐกิจ ทำแปลง ทำดิน
ส่วนของชุมชนเทพารักษ์ 5 จงกล พารา แกนนำเครือข่ายสวนผักคนเมืองขอนแก่น สรุปว่า เพื่อยกระดับด้านเศรษฐกิจ ทั้งทำดินปลูก เผาถ่านจากกิ่งไม้ที่มีคนตัดทิ้งไว้จำนวนมาก เป็นการจัดการขยะและสร้างรายได้ และในปีนี้สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ คือ ผักปังญี่ปุ่นและอัญชัญที่ใช้พื้นที่เล็ก ๆ ขายได้พันกว่าบาทแล้ว
ประเด็นผลิตถ่านขายนี้ ตัวแทนจากชุมชนเทพารักษ์ 5 เสริมว่า ปัจจุบันมีเตาเผาถ่านอยู่แล้ว 3 เตา และกำลังทดลองทำน้ำส้มควันไม้ด้วย
ด้านชุมชนโนนเชือก จงกลกล่าวว่า โนนเชือกยังไม่ถึงขั้นเป็นศูนย์เรียนรู้ฯ หรือจัดอบรมได้ แต่เป็นจุดขยายพื้นที่เขตชนบทที่ทำเกษตรอินทรีย์เป็นอาหารปลอดสารพิษ ส่วนหนึ่งขายในชุมชนกับส่งขายในเมืองด้วย สำหรับเป้าในปีนี้จะขยายพื้นที่ปลูกให้มากขึ้น และส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ ซึ่งในปีนี้ แม่ลอง หรือสำรอง พาพวย เกษตรกรจากโนนเชือกได้เมล็ดพันธุ์ 6-7 ชนิด มีทั้งกวางตุ้ง สลัด ชีหอม ชีลาว กระเทียม ข้าวโพด
“พอได้เรียนรู้เรื่องการปลูกแบบอินทรีย์แล้ว ปีนี้เป็นปีที่ 2 เริ่มขยายผล จะขยายพื้นที่ให้มากขึ้น ขยายสมาชิกให้มากขึ้น คาดหวังว่าให้มีความหลากหลาย สามารถนำส่งเข้ามาที่ตลาดเขียวขอนแก่น ที่ผ่านมาแม่ลองใช้วิธีฝากมา เลยว่า ถ้าเขารวมกันได้ 4-5 คน คือให้ตัวแทนคนหนึ่งมาขาย ไม่ต้องมาฝากเขา พอพี่น้องมาที่ตลาดจะได้เกิดปฏิสัมพันธ์เรียนรู้กับผู้บริโภคด้วย และได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ นำไปสู่การผลิตที่หลากหลายมากขึ้น” จงกลอธิบายถึงเป้าหมายในอนาคตของพื้นที่โนนเชือก
สำหรับศูนย์ฯ แห่งแรกของจังหวัดขอนแก่นซึ่งก็คือบ้านและสวนของจงกลเอง จงกลอธิบายว่า ภายใน 3 ปีจะสทำให้เป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องเมล็ดพันธุ์เสริมเพิ่มเข้ามา รวมถึงเป็นที่รวบรวมเมล็ดพันธุ์ของพี่น้องเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมเพื่อช่วยเหลือกันเวลาเกิดภัยพิบัติ ภาวะวิกฤต หรือสอน ทำการตลาดเรื่องการสร้างเศรษฐกิจเมล็ดพันธุ์ นอกจากนั้นยังคาดหวังให้เป็นห้องสมุดด้วย
“ฟังพี่คมสัน (หุตะแพทย์) แล้ว เราอยากเป็นศูนย์บ่มเพาะการสร้างแรงบันดาลใจ เรื่องเกษตรในเมือง และคิดว่า ทำแกลบไบโอชาไปผสมในดินเพื่อให้คุ้มค่ามากขึ้น เราสามารถเป็นต้นแบบทำแบบนี้ในเมืองได้ เพิ่มรายได้ นอกจากเพาะกล้า เสริมเรื่องการทำดินด้วย อีกเรื่องที่อยากทำคือนโยบายเมืองสีเขียวที่เราสัมพันธ์กับเทศบาลนครขอนแก่น กับเทศบาลเมืองศิลา และผลักดันเรื่องพื้นที่ว่างเอกชนให้เป็นพื้นที่ปลูกผักให้คนเมืองได้ใช้ประโยชน์”
อีกมุมหนึ่ง ความตั้งใจที่จงกลอยากเห็นและทำให้เกิดในช่วง 3 ปีข้างหน้าในมิติของการทำธุรกิจคือการเปิดบริษัทรับจัดงาน ให้คำปรึกษา สร้างเศรษฐกิจ ขยายผลการปลูก เชื่อมการทำงานกับแหล่งเรียนรู้ เป็นต้น


มหาสารคาม: สวนผักคนเมืองเป็นวิถีชีวิตและการแบ่งปัน
สุดท้าย พุธ บุญหล้า รองประธานชุมชนบ้านแมด เป็นตัวแทนสมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองมหาสารคาม นำเสนอว่า สวนผักคนเมืองเป็นวิถีชีวิต การบริโภคแบ่งปันสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน สร้างภาคี เรียนรู้แลกเปลี่ยนและแบ่งปัน ทั้งยังเป็นการสร้างแหล่งเรียนรู้ให้กับสมาชิกชุมชน เช่น กลุ่มเปราะบาง
ส่วนอุปสรรค ปัญหา และความท้าทายสำหรับชุมชนเมืองมหาสารคามมีตั้งแต่ การขาดสถานที่ปลูก หรือไม่มีสถานที่เหมาะสม ขาดความรู้ ทุน มีปัญหาโรคแมลง แหล่งน้ำ และสมาชิกบางชุมชนไม่มีเวลา ต้องหาเช้ากินค่ำ มีพื้นที่น้อย ไม่มีทุน หรือยังคงเห็นว่ารับจ้างได้เงินวันต่อวันดีกว่า
สำหรับแผน 1-3 ปีข้างหน้ามีมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย เช่น คนในชุมชนปลูกผักครัวเรือน มีผักกินตลอดปี, เก็บเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านสมัยปู่ย่าตายายที่ตอนนี้เริ่มไม่มีแล้ว เพื่อไม่ต้องซื้อจากที่อื่น, เพิ่มเครือข่าย สร้างพลังคนรุ่นใหม่ ๆ เพื่อสานต่องานในอนาคต และขยายเครือข่ายจากเดิม 4 ชุมชนให้ครอบคลุมทั้ง 31 ชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้น
ชัยสิทธิ์ แนวน้อย แกนนำเครือข่ายสวนผักคนเมืองมหาสารคาม กล่าวเสริมว่า “1-3 ปี เราคาดหวังว่า แต่ละชุมชนจะไปขยายเพิ่มอีก 1-2 ชุมชน และสวนผักไม่ใช่แค่ปลูกอยู่ปลูกกิน เราคาดหวังยกระดับทางเศรษฐกิจให้มีรายได้ต่อเนื่อง จากที่ขายเล็ก ๆ น้อย ๆ และมีช่องทางสร้างตลาดในชุมชน
ส่วนพื้นที่แปลงรวม นอกจากปลูกผักขาย จะทำเรื่องการเพาะกล้า ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะดินปลูกสัมพันธ์กับดินเพาะกล้า นอกจากนั้นยังวางบทบาทให้เป็นศูนย์เรียนรู้ด้วย
“เป็นศูนย์ที่เรียนแล้วเอาไปใช้ได้ กับดินปลูกทำเพื่อขาย และศูนย์ในชุมชนกับแปลงรวมเองให้เป็นมืออาชีพทั้งทักษะการสื่อสาร อุปกรณ์ต่าง ๆ การออกแบบหลักสูตร การเรียนรู้ให้เหมาะสมกับคนหลากหลายวัยทั่วไปในเมือง และคนที่สนใจทั่วไป รวมทั้งทำแคตตาล็อกที่สร้างอาชีพได้ เช่น ชุดพร้อมปลูก โต๊ะปลูก และการออกแบบผลิตภัณฑ์เสริม ที่นอกเหนือจากขายผักอย่างเดียว ถ้าอยากเอาไปปลูกเอง เราก็มีให้” ชัยสิทธิ์กล่าว
ต่อคำถามที่ว่า ในช่วง 1-3 ปี ภารกิจงานสวนผักคนเมืองจะไปอยู่ส่วนไหนได้ในระดับนโยบาย ชัยสิทธิ์กล่าวว่า ว่าที่ร้อยตรีพัฒนายุทธ เพ็งบุญ ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองมหาสารคาม ที่มาร่วมงานวันนี้ด้วย แนะนำว่าให้จดเป็นวิสาหกิจเพื่อได้เงินสนับสนุนจากเทศบาล
“ผอ.โต (พัฒนายุทธ) บอก จดวิสาหกิจเลยในนามสวนผักคนเมือง ทั้ง 3-4 ชุมชนรวมตัวกัน เทศบาลสามารถให้เงินอุดหนุนในนามวิสาหกิจได้เลย อันนี้อยู่ในแผนของเทศบาล และอาจจะพูดคุยกับผู้บริหาร กำหนดอยู่ในแผนของชุมชน สำหรับทิศทางที่ทางเทศบาลจะสนับสนุนต่อไปอาจจะไม่หนุนแบบเดิม ที่ให้เงินอุดหนุนชุมชน แต่จะอุดหนุนกลุ่มอาชีพ ส่วนของแปลงรวม เขาสนับสนุนให้ใช้พื้นที่เฉย ๆ แต่ส่วนของการสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์หรืออย่างต่อเนื่องแบบนี้จะไม่มี”

มกย. แนะแนวทาง: มุ่งหน้าสร้างวิถีชีวิตพึ่งตนเองและสร้างแรงบันดาลใจได้
ทางด้านสุภา ใยเมือง กรรมการ มกย. อดีตผู้อำนวยการซึ่งริเริ่มสวนผักคนเมือง แนะนำให้ทั้ง 3 จังหวัดนำความรู้ของตัวเองออกมาจัดการความรู้ ในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า เช่น เรื่องขนาดตารางเมตร ครอบครัวมีกี่คน การปลูกต้องใช้พื้นที่เท่าไรเพื่อเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวให้ได้
“ให้ใช้ความรู้เรื่องการปลูกผักที่เราพัฒนาแล้ว แม้อาจจะมีปัญหาเรื่องโรคแมลงก็ไม่เป็นไร เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเจอก็ยังแก้ไขไม่ได้
“เอาความรู้เชิงว่า แบบที่คมสันพูดถึงว่าทำเป็นวิถีชีวิต เราปลูกแล้ว เอาฐานอันนี้ เราอยู่ได้กี่ครอบครัว และสร้างเครือข่ายรวมกันสร้างได้กี่ครอบครัว เป็นการจัดการความรู้ใน 3 ปีข้างหน้า จัดการความรู้แล้วเวลาคนมาดูงาน เราอธิบายเขาได้ สอง-อาจจะมีแปลงผักที่มีสมุนไพร ส่วนหนึ่งเป็นอาหาร โดยเฉพาะผักพื้นบ้านเป็นยาด้วย น่าจะเสริมสวนอาหารและยา แต่ไม่ใช่ทำสวนแล้วกินไม่เป็นนะ” สุภาให้คำแนะนำพร้อมกับตบท้ายแบบติดตลก


ในขณะที่ทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้อำนวยการ มกย. ได้เสนอให้จัดทำระบบบัญชีเพื่อสร้างการเรียนรู้กับผู้อื่นว่า สวนผักเมืองสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารได้ ซึ่งเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร กรรมการจากสำนัก 5 ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ให้คำแนะนำไว้ว่าควรทำในเชิงปริมาณด้วย
“อย่างภูมิใจวันนี้เขาประหยัดค่าอาหารไปกี่บาท เขาจดตัวเลขออกมา ขายได้กี่บาท อยากให้พวกเราจดบัญชีไว้ เวลาที่พวกเราสร้างการเรียนรู้กับผู้อื่น มันยืนยันว่าสร้างความมั่นคงทางอาหารได้นะ มีรายได้เกิดขึ้นนะ จะได้มีตัวเลข และสร้างแรงจูงใจให้กับคนที่สนใจได้
“อยากให้พวกเราทำระบบบัญชีของแต่ละบ้านเองด้วย ของชุมชนเองด้วย กับเป็นวิถีของพวกเราด้วย เวลาที่พวกเราคุยกับคนอื่นจะมีทั้งเชิงปริมาณ ทั้งเชิงคุณภาพ ว่า เราไม่ได้ทำแค่ผักอย่างเดียว เป็นพื้นที่ของเป็นการบำบัดของคนซึมเศร้า เป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน จากต่างคนต่างอยู่ มีพื้นที่ปลูกผักเข้ามาแทนที่ของการรวมกัน เป็นกลไกของการเคลื่อนไปสู่เรื่องอื่นด้วย เช่น ยกระดับเป็นธุรกิจ อันนี้เป็นความหวังของขอนแก่น รวมทั้งนโยบายที่เราจะทำงานกับเทศบาล เราค่อย ๆ ทำงานร่วมกันไปเรื่อย ๆ”
โจทย์ที่ฝากไว้: สานเครือข่ายการทำงานเพื่อสังคมและให้ถึงการขับเคลื่อนนโยบาย
นอกจากนั้น ทัศนีย์ตั้งประเด็นเป็นโจทย์ฝากไว้ด้วยว่า “อยากจะถามทั้ง 3 จังหวัดจะเป็นต้นแบบยังไง ไม่ใช่เชิงเทคนิคอย่างเดียว เป็นต้นแบบในเชิงระบบด้วย บางที่อาจจะเด่นเรื่องการทำงานกับเครือข่าย อย่างสุรินทร์เห็นความหวังว่าทำงานกับสลัม ๔ ภาค เป็นเครือข่าย ความเป็นเครือข่ายจะทำให้ตัวสวนผักยั่งยืนต่อไปด้วย”
ผู้อำนวยการ มกย. ยังเปิดเผยถึงบทบาทและความคาดหวังของ มกย. ในการร่วมขับเคลื่อนงานสวนผักคนเมืองกับสมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองภาคอีสาน ว่า 1. ทำให้เกิดศูนย์ฝึกของแต่ละพื้นที่ โดยระยะเริ่มต้นอาจจะมีศูนย์เดียวก่อน 2. ภายใต้ศูนย์ฯ มีหลักสูตร โดยปรับจากหลักสูตรของมูลนิธิฯ ที่ทำกับอาจารย์เกศศรินทร์ แสงมณี หรืออาจารย์เติ้ล ให้เป็นของตัวเอง ซึ่งอาจจะมีเรื่องราวมากกว่าที่มูลนิธิฯ มี และ 3. สร้างทีมวิทยากรให้มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการทำงานรณรงค์ เผยแพร่สื่อสาร
ทัศนีย์ขยายความในประเด็นเรื่องการเผยแพร่สื่อสารว่า “สิ่งที่พวกเราทำมีเสน่ห์ และสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้อื่นได้ อาจจะเริ่มจากกลุ่มไลน์ของหมู่บ้าน ชุมชน ที่จะทำงานร่วมกัน ดังนั้นควรมีการสื่อสารที่จะบอกกับสังคม หรือชุมชนอื่น ๆ ว่าเราดำเนินการอะไร
“สุดท้ายคืองานเครือข่าย แต่ละจังหวัดมีเครือข่ายที่แตกต่างกัน การสร้างและขยายเครือข่าย สวนผักคนเมืองอาจจะเป็นช่องทางเริ่มต้น เพื่อทำงานร่วมกันกับเครือข่ายอื่น ๆ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และเครือข่ายเรื่องสุขภาพ”
ส่วนในการทำงานเชิงนโยบาย ผู้อำนวยการ มกย. แสดงความเห็นว่า การทำงานกับทางเทศบาลที่สมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองภาคอีสานมีการทำกันอยู่แล้วเป็นแนวทางที่ควรจะดำเนินการต่อ เนื่องจากเป็นกลไกที่สามารถขับเคลื่อนทางนโยบายต่อไปได้ ทั้งนโยบายการสร้างเมืองสีเขียว และการพัฒนาเมืองร่วมกันต่อไปด้วย