
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สมาชิก “สวนผักคนเมืองภาคอีสาน” จำนวนหนึ่งได้เข้ามาที่มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. ตำบลไทรม้า อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ในโอกาสที่เดินทางจากบ้านในจังหวัดขอนแก่น สุรินทร์ และมหาสารคาม มาเพื่อร่วมกันประชุมสรุปการทำงานกว่า 1 ปีที่ผ่านมา
ในช่วงของการกล่าวต้อนรับและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ ทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้อำนวยการ มกย. ระบุว่า การเลือกจัดงานวันนี้ตั้งใจให้ตรงกับวันที่มี “ซิตี้ฟาร์มมาร์เก็ต” ตลาดของเครือข่ายสวนผักคนเมืองที่มูลนิธิฯ ทำงานร่วมกันในภาคเมือง ขณะเดียวกันก็อยากให้ได้มารู้จักกับมูลนิธิฯ พร้อมกับเรียนรู้ทั้งเรื่องแนวคิดเกษตรอินทรีย์ในเมืองและทบทวนเรื่องทางด้านเทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์ในเขตเมือง
รู้จักแนวคิดเกษตรอินทรีย์จากผู้มีประสบการณ์เข้มข้น
ในช่วงเช้า คมสัน หุตะแพทย์ รองประธาน มกย. รับบทบาทเป็นวิทยากรนำเสนอแนวคิดเกษตรอินทรีย์ในเมือง ด้วยการถ่ายทอดทั้งประสบการณ์ของตนเอง ประกอบการอ้างอิงทฤษฎีและความรู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งคมสันเป็นผู้มีประสบการณ์การทำสวนผัก ชื่อว่า “สวนบ้านคุณตา” บนพื้นที่ประมาณ 100 ตารางวา (ตร.ว.) ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 62 กรุงเทพฯ ซึ่งเปิดให้เป็นศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองมาตั้งแต่ปี 2553 รวมทั้งยังได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ชุมชนสันติวนา เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ
ในแนวคิดของคมสัน เขามองว่า เกษตรในเมืองเป็นการออกแบบพื้นที่ที่เริ่มต้นจากความต้องการ กล่าวคือ
“เราต้องการทำอะไรก็เริ่มต้นจากตรงนั้น อย่าไปทำมากกว่านั้น เนื่องจากการทำเกษตรไม่ใช่ 1+1 เท่ากับสองเสมอไป ทำเกษตร 1+1 เท่ากับ 3 ก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเจอ 1+1 เท่ากับศูนย์ 1+1 เท่ากับติดลบ 1 ติดลบ 2 เพราะไม่ได้ผลผลิตตามที่เราหวัง แต่เราใส่เงินใส่แรงไปแล้ว ไม่ได้ผลผลิต ฝนฟ้าไม่มา
“อย่างช่วงนี้ใครปลูกผักคะน้า ต้นจะยืดยาว เพราะไม่มีแดด อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็เป็นปัญหา ทำให้แมลงลง หนอนกิน ไม่ได้ผลผลิตเลย การทำเกษตรจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้ด้วย” คมสันกล่าว


หลักของบ้านอยู่ที่สวนและครัว
“บ้าน สวน และครัว” คือหลักคิดและสิ่งสำคัญสำหรับการทำเกษตรในเมือง โดยคมสันขยายความว่า คนไทยสมัยก่อนมีสวนและครัวเป็นชีวิต โดยสวนเป็นแหล่งผลิตทั้งอาหาร เครื่องอุปโภค ตลอดจนยารักษาโรค ในขณะที่ครัวคือสถานที่ที่ใช้ในการปรุงและแปรรูปผลผลิตหรือพืช ให้กลายเป็นอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการดำรงชีวิตส่งไปให้แก่คนที่อาศัยอยู่ในบ้าน
“ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมาจากสวน ทำจากพืช มีอยู่ในสวนทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือต้องคิดทุกอย่างให้หมุนเวียนได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำขี้ไก่ไปปลูกผัก และผักที่ปลูกหมุนเวียนให้ไก่กิน” ซึ่งคมสันระบุว่า ของเสียจากครัวที่แปรรูปพืชอินทรีย์นั้นเป็นของเสียที่มีคุณภาพ และมีสารอาหารที่ดีกว่า
วิถีเมืองที่ทำลายเกษตรและสร้างโรคภัย
แต่สำหรับวิถีปัจจุบันที่เป็นแบบเมือง คมสันชี้ว่า อาหารกลับอยู่แต่ในร้าน โดยเขาได้เชื่อมโยงภาพใกล้ตัวให้เห็นว่า เพียงในระยะเวลา 2 ปีที่ไม่ได้มา มกย. เขาพบเห็นได้ชัดเจนถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ซึ่งในวันนี้พบว่า ตั้งแต่ปากทางเข้า มีบ้านจัดสรรจำนวนมาก และร้านสะดวกซื้อยี่ห้อเดียวมีถึง 10 กว่าร้าน รวมร้านค้าอื่น ๆ เกือบ 20 ร้าน ด้านหนึ่งนี่คือความสะดวกสบาย เจริญขึ้น พัฒนาขึ้น แต่อาหารที่อยู่ในร้านนั้น มากกว่า 70% แพงเกินจริง และทำให้สุขภาพเสีย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น สุภา ใยเมือง อดีตผู้อำนวยการ มกย. เพิ่งบอกเล่าว่า ในอดีต พื้นที่แถวไทรม้าเป็นสวน ทำให้น้ำท่วม เพราะการขึ้นของหมู่บ้านจัดสรรไปดักทางน้ำที่ในอดีตสามารถไหลลงสู่แม่น้ำลำคลองได้ ซึ่งการไหลของน้ำ น้ำท่วม และน้ำแล้ง ทำให้ระบบการทำเกษตรเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น คมสันได้ขมวดปมประเด็นให้เห็นภาพรวมว่า การขยายตัวของเมืองเป็นเรื่องพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรโดยตรง โดยที่อีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า พื้นที่ส่วนใหญ่ 80% จะเป็นเมือง
“เมืองในที่นี้ก็คือสิ่งที่เราประสบอยู่ คือคนชนบทจะขายที่ เราจะไม่มีที่ดินทำกิน เราจะซื้อกิน เป็นลูกจ้าง และนำเงินเหล่านั้นมาซื้อกิน ในร้านอาหารแบบเดียวกัน กินแบบเดียวกัน รสชาติแบบเดียวกัน และเป็นโรคแบบเดียวกัน คือโรคที่เรียกว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ได้มาจากการบริโภคของเราโดยตรง” ข้อสรุปของคมสันสั้น แต่ครอบคลุมใจความสำคัญไว้มากมาย



ตั้งต้นด้วยแนวคิดที่ถูกต้องและชัดเจน
ในช่วงท้าย ๆ เขาย้อนกลับไปเฉลยโจทย์แรกที่ตั้งไว้ ว่า สำหรับตัวเขาเอง การทำเกษตรในเมืองคือชีวิต เป็นวิถีชีวิตของครอบครัวที่ทำอยู่ทุกวันนี้นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ดังนั้นเขานำเสนอว่าต้องคิดให้ตกว่า จะทำเกษตรในเมืองเป็นชีวิต หรืองานที่จะต้องทำเหมือนกับงานอื่น ๆ
ทั้งนี้ ถ้าคิดว่าเป็นงาน บางทีอาจจะล้มเหลวในเวลาอันสั้น เนื่องจากคนเราย่อมจะสามารถเปลี่ยนงานไปทำอย่างอื่น แล้วหาเงินมาซื้อข้าวปลาอาหารได้ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิต เวลาเกิดปัญหาอะไรก็ตาม ถ้าสำคัญต่อชีวิตเรา เราจะมุมานะฟันฝ่าให้ประสบความสำเร็จ
จากนั้นเขาโยนโจทย์ให้กลุ่มผู้ฟังโดยตรงว่า ทุกคนควรตั้งคำถามว่า สิ่งที่ทำมาปีกว่า ๆ สำเร็จแค่ไหน จะทำต่อแค่ไหน และมีความสำคัญต่อตัวเองมากน้อยแค่ไหน
“ถ้าเราคิดว่าเรื่องเมือง เรื่องการเกษตร และเรื่องอาหารเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องเริ่มทันที ไม่มีเวลารอ และมีแผนงานเพื่อตอบโจทย์ใน 3 เรื่อง คือ สุขภาพ สมอง และอารมณ์” คมสันย้ำว่า อารมณ์ดี สมองดี และร่างกายดี ล้วนมาจากปัจจัยพื้นฐานสำคัญคืออาหาร
ดังนั้น คมสันชี้ว่า การทำสวนผักหรือทำเกษตรในเมือง เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่ใหญ่กว่า ทั้งยังชวนคิดต่อในเรื่องชีวิตที่เราเป็นอยู่ด้วย
“แนวโน้มที่ชัดเจนทั่วโลก คนจนทั่วโลกอาศัยอยู่ในเมืองโดยที่ไม่มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร มีอาหารก็ไม่ปลอดภัย ไม่มีคุณภาพ และถูกกำหนดราคาโดยระบบตลาดที่เราไม่สามารถต่อรองได้ เราจะปลดปล่อยเรื่องนี้อย่างไร สวนผักคนเมืองหรือการทำสวนผักเกษตรอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะจุดประกายให้เราเริ่มเห็นหนทางว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
นั่นคือบทสรุปเกี่ยวกับการทำสวนผักคนเมืองของคมสัน ก่อนที่จะปิดท้ายจริง ๆ ด้วยประเด็นเกี่ยวกับศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมือง
ศูนย์เรียนรู้ต้องสร้างแรงบันดาลใจได้
คมสันยอมรับว่า ศูนย์เรียนรู้ฯ เป็นอีกกลไกที่สำคัญเพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องเกษตรในเมือง แต่จากประสบการณ์ เขามีคำแนะนำว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่การทำให้ศูนย์เรียนรู้ฯ เป็นสิ่งที่คนเข้ามาสัมผัสได้ และเกิดแรงบันดาลใจ ซึ่งสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับผู้นำของศูนย์เรียนรู้ ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ หรือความสวยงาม และไม่จำเป็นต้องมีความครบถ้วนพร้อมสรรพ แต่อยู่ที่การมีคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ และสามารถถ่ายทอดความรู้ได้ในระดับหนึ่ง
“ศูนย์เหล่านั้นจะประสบความสำเร็จและยั่งยืน อยู่ที่คนนะ อยู่ที่คนจริง ๆ” คมสันทิ้งท้าย



จากนั้นในช่วงบ่ายเป็นกิจกรรมการทบทวนสิ่งที่เคยอบรมกันไปแล้วกับอาจารย์เกศศิรินทร์ แสงมณี หรืออาจารย์เติ้ล ในหัวข้อเรื่องการจัดการโรคและแมลง รวมถึงเป็นโอกาสให้สมาชิกได้ปรึกษาหารือหรือสอบถามเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคที่พบในเส้นทางที่ทำสวนผักกันมา
โรค แมลง หรือขาดธาตุอาหาร ปัญหาอยู่ที่การแยกแยะ
การนำความรู้เรื่องโรคและแมลงกลับมาทบทวนอีกครั้ง อาจารย์เติ้ลอธิบายว่า เนื่องจากทุกคนยังไม่สามารถแยกปัญหาที่พบได้ชัดเจน ระหว่างโรค แมลง วัชพืช และการขาดธาตุอาหาร
“บางคนเห็นอันนี้บอกว่าเป็นโรค ไม่ใช่แมลงเข้าทำลาย บางทีตัวนี้ทุกคนก็ยังบอกว่าคือโรค ไม่ใช่ขาดธาตุอาหาร มันเลยตีกัน เมื่อแยกไม่ได้เวลาจัดการทำให้ไม่ได้ผล เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค แมลง หรือศัตรูพืชที่รวมถึงวัชพืช สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ สภาพแวดล้อมที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต” อาจารย์เติ้ลขยายความประเด็นปัญหาเชื่อมไปสู่สิ่งที่เป็นคำตอบ
ในส่วนคำตอบด้านสภาพแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต อาจารย์เติ้ลยกตัวอย่างเรื่องการรดน้ำในช่วงฤดูร้อน ว่าห้ามรดแบบเผื่อ เนื่องจากจะทำให้มีน้ำส่วนเกินตกค้างในแปลง ครั้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำเหล่านั้นจะมีความร้อน ส่งผลให้พืชไม่สามารถดูดน้ำและอากาศในดิน ส่วนหน้าฝนก็ต้องทำให้ดินมีความร่วนซุยกว่าช่วงฤดูอื่น เพื่อมิให้เกิดโรครากเน่า โคนเน่า
ส่วนปัจจัยที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต หลักๆ คือคน จากปัญหาพฤติกรรมที่ผิด เช่น กรณีพบแมลงตัวเต็มวัยแล้วนำไปสุมไว้ที่โคนต้น ซึ่งเท่ากับเป็นแหล่งอาหารที่ทำให้แมลงขยายพันธุ์ได้ หรือต้นที่เป็นโรคโดยเฉพาะเชื้อรามีสปอร์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สามารถปลิวไปกับลม ดิน น้ำ และอากาศ ตัดแล้วห้ามทิ้งลงดินหรือในกองทำปุ๋ยหมักที่เป็นแหล่งอาหารทำให้เกิดการขยายพันธุ์ได้เช่นกัน ทั้งโรคและแมลงให้เก็บใส่ถุงแล้วทิ้งลงบ่อ หรือกองทิ้งเศษพวกนี้แล้วจัดการเผา ในขณะที่การจัดการวัชพืช ซึ่งเป็นหนึ่งในศัตรูพืชด้วยนั้น ต้องพยายามถอนและตัดทิ้ง และอย่าปล่อยให้ออกดอกเด็ดขาด

การป้องกันทำได้ตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ดี อาจารย์เติ้ลย้ำอีกครั้งว่า แนวทาง “ป้องกัน” ศัตรูพืชที่ดีที่สุดอยู่ที่การเตรียมดินและการปลูกพืชแบบผสมผสานหรือหมุนเวียน โดยการเตรียมดินเป็นการป้องกันขั้นต้น มีวิธีการคือ ในวันแรกของการเตรียมดิน ให้ใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงหรือฮอร์โมนหน่อกล้วยพ่นลงดิน จากนั้นทิ้งช่วง 10 วันให้ดินลดความร้อน แล้วเติมไตรโครเดอร์มาหรือจุลินทรีย์เพื่อกำจัดโรค แล้วก่อนปลูกให้ฉีดพ่นสมุนไพรไล่แมลง เช่น น้ำส้มควันไม้ หรือจุลินทรีย์กำจัดแมลง ลงไปในแปลงอีกครั้ง เนื่องจากการหมักดินแบบเปิด ทำให้ไม่รู้ว่ามีแมลงวันหรือผีเสื้อมาไข่หรือไม่
ส่วนการปลูกพืชหมุนเวียนหรือผสมผสานจะทำให้แทบไม่ต้องใช้จุลินทรีย์หรือใช้สมุนไพรในการไล่แมลงระหว่างทาง เนื่องจากมีแมลงศัตรูธรรมชาติช่วยกัดกินศัตรูพืช ได้แก่ ตั๊กแตน เต่าทอง ผึ้ง มวนพิฆาต
การวางแผนการผลิตเป็นอีกแนวทางที่อาจารย์เติ้ลบอกว่าสามารถป้องกันศัตรูพืชได้ ถ้าวางแผนการผลิตที่ดีและทำตามขั้นตอนการจัดการแปลงที่ดี โรคและแมลงจะไม่เกิด หรือเกิดน้อย
จากนั้นอาจารย์ยังได้ย้ำเตือนความจำด้วยว่า “ห้ามปลูกแปลงไม้ดอกใกล้กับแปลงผัก เพราะผีเสื้อที่เราเห็นสวย ๆ ซึ่งจะกลายร่างเป็นหนอนกัดกินผัก ยกเว้นปลูกพืชหมุนเวียนสามารถเลี่ยงได้”
อาจารยชื่นชมเรื่องการเรียนรู้และปรับตัว
อาจารย์ยังได้กล่าวกับกลุ่มผู้ฟัง หรืออดีตลูกศิษย์ทั้งหลายอย่างชื่นชมว่า “จากการสังเกตการณ์ในห้อง (กลุ่มไลน์สวนผักคนเมืองภาคอีสาน) ที่เห็นตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา 1 ปี พี่ ๆ ทุกคนวางแผนการผลิตได้ จากเดิมที่เราไม่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ก็จะเห็นการพัฒนา กลายเป็นว่า ตอนนี้พอปรับรูปแบบของแปลงปลูก โต๊ะปลูก แล้วเรารู้แล้วว่าพืชอะไรควรจะปลูกด้วยกัน อะไรไม่ควรปลูกด้วยกัน หนึ่งแปลงควรมีพืชกี่ชนิด มันก็เลยเป็นการป้องกันความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิต เราก็เลยสามารถมีผักออกได้ตลอดทั้งปี อันนี้เป็นแนวทางอีกแนวทางหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดศัตรูพืช”
ในช่วงท้าย อาจารย์เติ้ลยังได้ทบทวนความรู้อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสารชีวภัณฑ์กำจัดโรคและแมลง รวมทั้งวิธีการใช้ที่ถูกต้อง เรื่องของธาตุอาหาร ซึ่งเป็น 1 ในปัจจัยสำคัญของการผลิต โดยบรรยายลักษณะของพืชที่ขาดธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจนเป็นตัวเร่งใบและยอด พบมากในมูลสัตว์ เช่น ขี้วัว ขี้ไก่ ขี้หมู ถ้าขาดธาตุชนิดนี้ ใบจะมีสีเหลือง ฟอสฟอรัสช่วยเร่งดอก ผล และราก ถ้าขาดธาตุชนิดนี้ใบล่างจะเป็นสีม่วง ให้เติมจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง และฮอร์โมนหน่อกล้วย ซึ่งช่วยดึงฟอสฟอรัสที่อยู่ในดิน โพแตสเซียมช่วยเร่งผลและรสชาติที่ดีขึ้น พบมากในเปลือกไข่ นม แกลบดิบ กับขี้เถ้าแกลบ ถ้าขอบใบไหม้ ดำ และใบเหลืองด้วย แสดงถึงการขาดโพแทสเซียม เป็นต้น


ทบทวนเรื่องแมลงกันอีกครั้ง
ต่อด้วยการทบทวนลักษณะของแมลงที่มี 2 ประเภท คือแมลงปากดูดและแมลงปากกัด การโจมตีของแมลงชนิดแรกทำด้วยการดูดกินน้ำเลี้ยงและสารอาหารของพืชจนทำให้ใบซีด กลุ่มนี้ได้แก่เพลี้ยทุกชนิด ส่วนแมลงปากกัดจะใช้ปากแทะ กัดกินใบ ทำให้ใบแหว่ง ไม่สวย กลุ่มนี้ได้แก่หนอนทุกชนิด เช่น หนอนแมลงผัก หนอนแมลงหวี่ และหนอนกระทู้ ซึ่งปัจจุบัน จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หนอนกระทู้จึงไม่ได้กินเฉพาะข้าวโพดและผัก แต่พัฒนาเจาะกินยอดอ้อยด้วย เนื่องจากหนอนกระทู้ชอบอากาศแห้ง ทำให้ระบาดได้เร็ว
เปรียบเทียบระหว่างแมลงสองประเภทนี้ แมลงปากดูดถือว่าอันตรายกว่า เนื่องจากแมลงปากกัด แม้ทำให้ใบแหว่งน่าเกลียด แต่พืชยังโตได้ ไม่ได้หายไปทั้งต้น ในขณะที่พืชซึ่งถูกดูดน้ำเลี้ยงจนการลำเลียงธาตุอาหารต่าง ๆ หาย ผลผลิตจะลดลง
อาจารย์เติ้ลให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า เพลี้ยไฟ ไรแดง เป็นพาหะของไวรัสทุกชนิด แม้จะเป็นแมลงปากดูดเหมือนกัน แต่มีขนาดเล็กจนมองแทบไม่เห็น วิธีการแยกแยะดูได้จากลักษณะแผลที่ใบ เบื้องต้นให้สังเกตรูปทรงและแผล แผลที่เกิดจากเพลี้ยไฟมักอยู่ตามท้องใบ (ใต้ใบ) ใบหงิกงอม้วนขึ้น มีรูปร่างไม่แน่นอน และอาจมีมูลสีดำกระจายอยู่ทั่วใบ ส่วนไรแดง แผลจะเกิดบริเวณผิวด้านบน ใบม้วนงอลง มีเส้นใยคล้ายใยแมงมุมกระจายอยู่ในบริเวณที่เข้าทำลาย
“มีคำถามในกลุ่ม ทำไมปลูกแล้วยังเจอไวรัส ใบด่าง แล้วเป็นพร้อมกันทุกพื้นที่ อันนี้คือต้นเมล็ดพันธุ์มาจากต้นเดียวกันที่เป็นไวรัสเก็บไว้ เวลาเก็บต้นหนึ่งเป็นไวรัสหลายลูก สุดท้ายก็เป็นไวรัสเหมือนเดิม พืชที่มีไวรัสอยู่ในพันธุกรรม ปัจจุบันยังไม่มีสารชีวภัณฑ์ตัวไหนจัดการได้ วิธีรักษาคือการใช้ยาปฏิชีวนะเหมือนกับคน” อาจารย์เติ้ลยกประเด็นจากคำถาม และเสียงบ่นในกลุ่มไลน์ที่มีการสื่อสารกัน


กลับไปที่การรักษาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเสมอ
จากนั้นให้คำแนะนำว่า “วิธีการที่ดีที่สุดคือรักษาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ถ้าไม่เหมาะสม พืชที่มีไวรัสอยู่ในพันธุกรรมและรอเวลาแสดงออกมาจะเกิดการกระตุ้นและเป็นไวรัส เช่น พริก มะเขือ พืชพวกนี้ห้ามปลูกด้วยกัน หากปลูกใกล้กัน ถ้าต้นใดต้นหนึ่งเป็น จะเป็นทั้งหมด ซึ่งย้อนกลับไปในเรื่องการวางแผนการปลูก”
ภายหลังจากที่สมาชิกเครือข่ายสวนผักคนเมืองภาคอีสานได้เรียนรู้จากอาจารย์เติ้ลไปเมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา โดยได้นำความรู้ที่ได้มาครั้งนั้นไปทดลองปฏิบัติจริงในพื้นที่ พร้อมถ่ายทอดให้กับสมาชิกชุมชนผ่านศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองทั้ง 3 จังหวัด จนเกิดสวนผักขึ้นจำนวนมากมายในหลาย ๆ พื้นที่แล้ว การกลับมาทวนความรู้และได้เก็บรับเกร็ดความรู้เพิ่มเติมในครั้งนี้ นอกจากจะยิ่งทำให้ “สวนผักคนเมือง” ขยายเพิ่มไปในเขตเมืองของทั้ง 3 จังหวัด ยังน่าจะช่วยเสริมด้านคุณภาพและความยั่งยืนอีกด้วย