เมื่อสวนผักคนเมืองอีสานบุกกรุง มาพบปะกับสวนผักคนจนชุมชนเมือง

“ชื่นชมความแข็งแกร่งในการดำเนินการสวนผักคนเมืองของชุมชนภูมิใจและเลียบวารี รวมทั้งความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจด้วย” พรรณา อรรคฮาต จากชุมชนโนนชัย 1 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น กล่าวกับตัวแทนส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ปลูกผักอินทรีย์จากชุมชนภูมิใจ ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ และกลุ่มผู้เช่าของอาคารสวัสดิการที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการคนจน “เลียบวารี” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตหนองจอก กรุงเทพฯ

“ภูมิใจ” และ “เลียบวารี” เป็นชุมชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ “สวนผักคนเมือง” กับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. ด้วยความร่วมกับเครือข่ายสลัม๔ภาค มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือ มพศ. จากการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ในขณะที่พรรณาเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของ “สวนผักคนเมือง” ที่ มกย. ไปดำเนินการทางภาคอีสานร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ในพื้นที่

ตัวแทน “สวนผักคนเมือง” จากทั้ง 3 จังหวัดภาคอีสาน เดินทางไปพูดคุยแลกเปลี่ยนและชมสวนผักของชุมชนภูมิใจและเลียบวารี ตั้งแต่ในวันแรก

ในส่วนของชุมชนภูมิใจ เตือนใจ เกษมศรี แกนนำชุมชน รับหน้าที่ในการเล่าถึงความเป็นมาของชุมชนภูมิใจที่เกิดใหม่ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ในฐานะชุมชนที่รองรับครอบครัวจากชุมชนแออัดหลายแห่งซึ่งถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่เดิมเพื่อเปิดทางให้แก่การพัฒนาที่ดินเพื่อกิจการของภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนมีการเล่าถึงพัฒนาการการทำกิจกรรม “สวนผักคนเมือง” ร่วมกับ มกย. และ มพศ. โดยมีสมาชิกสวนผักบางคนร่วมบอกเล่าด้วย รวมทั้งได้รับการเสริมประเด็นเป็นระยะโดยทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้อำนวยการ มกย. และวรรณา แก้วชาติ ผู้ประสานงานโครงการของ มพศ.

เตือนใจกล่าวถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ในอนาคตว่า “หวังให้ลูกหลานมีทั้งความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและสามารถพึ่งตนเองได้”

ส่วน “พี่เอก” สามีของเตือนใจเสริมว่า มีความหวังอยากให้กิจกรรมสวนผักของชุมชนภูมิใจเป็นแหล่งเรียนรู้ ทั้งของลูกหลานภายในชุมชนและต่อบุคคลภายนอกด้วย

ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ “พี่คอน” สมาชิกสวนผักชุมชนภูมิใจที่บอกว่า หวังให้ชุมชนภูมิใจเป็นตัวอย่างของเพื่อน ๆ ชุมชนคนจนเมืองอื่น ๆ

ส่วนตัวแทนกลุ่มผู้เช่าห้องพักอาศัยของอาคารสวัสดิการที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการคนจน “เลียบวารี” เล่าถึงกิจกรรมเกี่ยวกับสวนผักว่า เริ่มจากได้เห็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลอาคารฯ ทำอยู่แล้วและได้ใช้ประโยชน์ในการนำมาปรุงอาหาร จากนั้นจึงได้เริ่มต้นปลูกบ้าง รวมทั้งได้รับบทบาทเป็นเสมือนแม่ค้าคนกลาง คอยเก็บพริกจากแปลงนำไปขาย ซึ่งสามารถเปลี่ยนฐานะทางเศรษฐกิจของตนเองจากที่เคยเป็นหนี้กลายเป็นผู้มีรายได้ทั้งจากงานประจำและงานพิเศษด้านการเกษตร

หลังจากรับฟังเรื่องราวของฝ่ายเหย้าแล้ว ตัวแทนจากฝ่ายเยือนบางคนก็ได้เล่าถึงประสบการณ์และผลลัพธ์ที่รับจากการเข้าร่วมทำ “สวนผักคนเมืองแบบอินทรีย์” เช่น ตัวแทนจาก จ.สุรินทร์ ได้เล่าถึงการขยับงานจากการปลูกเองมาสู่การส่งเสริมให้ครัวเรือนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกชุมชนหันมาปลูกผักบ้าง

ในขณะที่ตัวแทนจาก จ.มหาสารคาม คนหนึ่งแบ่งปันความรู้สึกว่า “ภูมิใจที่ได้มาร่วมทำสวนผักคนเมือง ทำกับเพื่อน ๆ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ทำให้ได้ความสนุก ได้สายสัมพันธ์” นอกจากนั้นเธอยังเล่าด้วยว่า การทำสวนผักยังทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับสามีของเธอ โดยเขาได้หันมาช่วยทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกลายเป็นคนทำหลักในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมดิน การเพาะกล้า และการทำโต๊ะปลูกผัก

จากนั้นในช่วงกล่าวทิ้งท้าย จงกล พารา จากศูนย์เรียนรู้สวนผักคนเมืองแห่งแรกของ จ.ขอนแก่น นอกจากได้นำเอาเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ที่เก็บเองจากแปลงปลูกมามอบให้ ยังได้กล่าวให้กำลังใจกับชุมชนภูมิใจและเลียบวารีด้วยการบอกเล่าประสบการณ์ของตนเองว่า แม้ทำสวนผักคนเมืองแบบอินทรีย์มา 12 ปีแล้วก็ยังพบเจอปัญหาอยู่เสมอ ดังเช่นในปีนี้ก็กำลังผจญกับศัตรูพืชผักอย่างมวนผักกาด ซึ่งยังคงแก้ปัญหาไม่ได้ และแม้แต่กรมส่งเสริมการเกษตรก็ออกมาเตือนภัยการระบาดของแมลงชนิดนี้

“แต่เรียนรู้ไปก็จะเพิ่มพูนความรู้และเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อย ๆ ก็ขอชื่นชมและให้กำลังใจค่ะ” จงกลกล่าว

ทางด้านชัยสิทธิ์ แนวน้อย ผู้ประสานงานหลักโครงการสวนผักคนเมือง ชุมชนเมืองมหาสารคาม ให้ความเห็นว่า ในการทำสวนผักอินทรีย์ในเมืองจำเป็นต้องผ่านฤดูกาล 3 ฝน 3 ร้อน และ 3 หนาว จึงจะพอจับหลักได้ โดยเฉพาะต้องมีการเรียนรู้เรื่องการปรับตัว รวมทั้งการใช้เทคโนโลยี

“เราต้องไม่จำนนกับข้อจำกัดที่มากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้องพร้อมเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ” นั่นคือข้อคิดที่ชัยสิทธิ์ฝากไว้