ภัยแล้งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ผลิตอาหารในเมืองแคลิฟอร์เนีย

นักปลูกในเมืองก็อาจได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นเดียวกันกับเกษตรกรรายใหญ่ ปัญหาที่นักปลูกในเมืองจะเผชิญในช่วงฤดูแล้ง (และแม้ว่าภัยแล้งจะไม่รุนแรง) รวมถึงการจัดสรรปริมาณน้ำ ค่าธรรมเนียมภัยแล้ง และการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ เช่น สายไฟหรือมิเตอร์ ปัญหามากมายเหล่านี้เกิดจากภูมิทัศน์ของน้ำที่ไม่สม่ำเสมอของรัฐแคลิฟอร์เนียและระบบน้ำแบบกระจายศูนย์เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอุปทานน้ำของเทศบาล

ภูมิทัศน์น้ำที่ไม่สม่ำเสมอ

Lucy Diekmann ที่ปรึกษาด้านการเกษตรและระบบอาหารของ UCCE ระบุถึงปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการสร้างภูมิทัศน์น้ำที่ไม่สม่ำเสมอสำหรับเกษตรกรในเมืองและชาวสวน และปัจจัยเหล่านี้ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง

Diekmann ยังกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญของภูมิทัศน์น้ำที่ไม่สม่ำเสมอของแคลิฟอร์เนียคือระบบการกระจายน้ำ โดยสังเกตว่าน้ำส่วนใหญ่สำหรับเกษตรในเมืองมาจากแหล่งน้ำในเขตเทศบาล และมักจะมีราคาแพงกว่าแหล่งน้ำเพื่อการชลประทานอื่นๆ ที่ไม่สามารถบริโภคได้ “ในช่วงฤดูแล้ง การจำกัดการใช้น้ำในเขตเมืองมีแนวโน้มที่จะนำไปใช้กับฟาร์มและสวนผักโดยใช้น้ำของเทศบาล” เธอกล่าวอีกว่า “สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินงานของพื้นที่ผลิตอาหารในเมือง หากพวกเขาต้องจัดสรรน้ำหรือจำกัดการให้น้ำในบางวันบางเวลา”

กรณีศึกษาที่นำโดย Diekmann ที่ตีพิมพ์ในปี 2560 ระบุว่าการเกษตรในเมืองในซานตาคลาราได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอย่างไร การค้นพบที่สำคัญของการศึกษาของเธอ คือ พื้นที่ผลิตอาหารในเมืองบางส่วนเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำนอกเขตเทศบาล เช่น บ่อน้ำ ซึ่งประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ

“พื้นที่ผลิตอาหารแห่งหนึ่งแห้งแล้ง ทำให้พวกเขาต้องจบฤดูกาลเพาะปลูกก่อนกำหนด”

เธอกล่าวว่า พื้นที่ผลิตอาหารต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำของเทศบาลมีน้ำที่เสถียรมากขึ้น แต่กังวลเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายค่าน้ำที่สูงขึ้นมาก หากการปันส่วนน้ำหรือค่าธรรมเนียมภัยแล้งมีผลใช้บังคับ

ในซานตาคลาราเคาน์ตี้ มีกิจการประปากว่า 13 แห่งที่ให้บริการน้ำใน 15 เมือง Diekmann ได้กล่าวว่า กิจการประปาแต่ละรายใช้โครงสร้างราคาและอัตราน้ำของตนเอง และมีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างและดำเนินการตามแผนการจัดการภัยแล้งของตนเอง

เธอให้ความเห็นอีกว่า “ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่อาหารตั้งอยู่ที่ใด นักปลูกก็สามารถจ่ายน้ำในปริมาณที่แตกต่างกันได้มาก และจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้งที่แตกต่างกัน” และ “ในซานตาคลาราเคาน์ตี้ กิจการประปายังมีทางเลือกที่จะเสนอส่วนลดสำหรับการใช้น้ำเพื่อการเกษตร ในช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมา กิจการประปาน้อยกว่าหนึ่งในสามเสนอราคานี้ให้กับลูกค้า ดังนั้น ความสามารถของพื้นที่ผลิตอาหารในเมืองในการใช้ประโยชน์จากส่วนลดนี้จึงขึ้นอยู่กับพื้นที่เป็นอย่างมาก”

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความไม่สม่ำเสมอของภูมิทัศน์น้ำในเมือง ตัวอย่างอื่นๆ เน้นที่ค่าน้ำที่ไม่สอดคล้องกันซึ่งแตกต่างกันไปตามหน่วยงานที่จัดพื้นที่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ โรงเรียนหรือเขตสาธารณูปโภค สถาบันหรือองค์กรชั้นนำอื่นๆ และรายละเอียดของข้อตกลงการใช้ที่ดินของพวกเขา

Diekmann ยังกล่าวอีกว่าพื้นที่อาหารและสวนผักในเมืองหลายแห่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในเมืองและเทศบาล สถาบันการศึกษา องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และองค์กรอื่นๆ ที่ช่วยให้พวกเขาเข้าถึงทั้งทางบกและทางน้ำ เธอกล่าวอีกว่าผู้สนับสนุนเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินงานของพื้นที่ผลิตอาหาร ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเลือกที่จะดูดซับหรือส่งต่อการประหยัดน้ำและค่าน้ำเพิ่มเติมในฤดูแล้ง

Rob Bennaton ที่ปรึกษา UCCE Urban Ag & Food Systems กล่าวว่า “นี่เป็นโอกาสสำหรับนโยบายที่เป็นนวัตกรรมในกลุ่มผู้ทำนโยบายระบบอาหารในเมือง “หากนักปลูกในเขตเมืองที่ปลูกพืชผลเกินความต้องการส่วนบุคคลและครอบครัวกำลังจัดการที่ดินในลักษณะที่รักษาแหล่งดินและน้ำในขณะที่เพิ่มความมั่นคงด้านอาหารและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นสำหรับการปลูกพืชผลควรอยู่ที่อัตราของเทศบาลหรืออัตราน้ำที่อยู่อาศัยหรือไม่”

Diekmann ได้ให้ความเห็นว่า อันที่จริงน้ำมีราคาแพงขึ้น “บางคนอาจสามารถจัดการการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า อย่างน้อยก็ในระยะสั้น ในขณะที่บางคนอาจไม่มีทรัพยากรที่จำเป็นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง”

การปรับปรุงประสิทธิภาพ

มีการศึกษามากมายที่ศึกษาแนวทางปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์น้ำ รวมถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการและการสัมมนาทางเว็บโดย UCCE Master Gardener Program และโปรแกรมการฝึกอบรม Qualified Water Efficient Landscaper (QWEL) สำหรับมืออาชีพ ในระยะยาว เทศบาลสามารถพิจารณาโอกาสในการพัฒนาหรือขยายแหล่งน้ำทางเลือก เช่น การรีไซเคิลน้ำ ไปยังนักปลูกในเมือง

สำหรับสิ่งที่นักปลูกในเมืองสามารถทำได้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งและลดการใช้น้ำ การฝึกจัดการชลประทานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ การปฏิบัติด้านสุขภาพของดิน เช่น การใช้ปุ๋ยหมักหรือคลุมด้วยหญ้า สามารถเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำของดิน และการใช้น้ำหยดสามารถช่วยประหยัดน้ำสำหรับการเจริญเติบโตของพืช

Bennaton กล่าวเสริมว่า “การคลุมด้วยหญ้าและการให้น้ำหยดสามารถลดการกระเด็นของดินลงไปด้านล่างของผักใบเขียว ช่วยให้อาหารปลอดภัยเมื่อปลูกพืชผลในดินเมืองที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

Diekmann ตั้งข้อสังเกตว่านักปลูกในเมืองจำนวนมาก รวมถึงเกษตรกรในกรณีศึกษาของ Santa Clara County ได้เน้นย้ำถึงการอนุรักษ์น้ำอยู่แล้วไม่ว่าจะเกิดภัยแล้งหรือไม่ก็ตาม “ในการศึกษาของเรา นักปลูกกว่า 100% ใช้ระบบน้ำหยดอยู่แล้ว”

Reference