ตอนนี้ก็มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า การอยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั้น มีส่วนช่วยให้สุขภาพกายและสุขภาพใจดีขึ้น ทั้งมีส่วนช่วยลดความดัน ทำให้ความเครียดลดลง ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยทำให้อารมณ์ดี ลดความวิตกกังวล และรู้สึกเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Michigan ที่พบว่า การเดินในที่ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ มีส่วนช่วยทำให้คนมีความจำดีกว่าคนที่เดินผ่านถนนที่วุ่นวายถึง 20 % อีกงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยUtah กับ Kansas ก็พบว่า คนที่ใช้เวลาในธรรมชาติ จะมีความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้นกว่าเดิม 50 % เรียกได้ว่าธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงช่วยให้เราสุขภาพกายใจดีเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณภาพการทำงาน และการใช้ชีวิตดีขึ้นด้วย
จะว่าไป ถึงไม่ยกงานวิจัยขึ้นมาพูด หลายคนก็คงทราบดีว่าเวลาออกไปอยู่กับธรรมชาตินั้น เรารู้สึกสบายกายสบายใจมากเพียงใด แต่ด้วยชีวิตในเมืองที่แสนวุ่นวาย เเละก็ไม่ได้มีพื้นที่สวนสาธารณะให้เข้าถึงได้มากนักอย่างนี้ เราจะทำยังไงได้บ้าง ลองมาดูกันนะคะ
- เดินเท้าเปล่า : หากบริเวณบ้าน หรือใกล้ๆบ้าน มีสนาม ผืนดิน หรือผืนทรายเล็กๆ ลองหาโอกาสถอดรองเท้าเดินกันดูนะคะ การเดินบนผืนดินนี้ จะทำให้เราได้รับพลัง รู้สึกเชื่อมโยงกับผืนดิน มีส่วนช่วยให้รู้สึกมั่นคง มีความสมดุลมากขึ้น อีกทั้งยังพบว่า การเดินเท้าเปล่านี้ มีส่วนช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และเครียดน้อยลงด้วย ถ้าเป็นไปได้ ลองใช้เวลาเดินเท้าเปล่าสัก 20 นาที แต่ถ้าไม่มีเวลามากขนาดนั้นก็อาจจะลองหาเวลาเล็กๆน้อยๆในช่วงพัก ทำกันดูค่ะ
- อาบป่าช่วงพักกลางวัน : แทนที่จะนั่งกินข้าวหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วทำงานต่อ อาจจะลองหาโอกาสออกมานั่งกินข้าวบริเวณสวนหย่อม หรือหากกินเสร็จแล้ว ก็อาจจะหาเวลาออกมาเดินหรือนั่งเล่นสักพัก โดยขณะที่เดินหรือนั่งอยู่นั้น ให้เราเปิดประสาทสัมผัส สังเกตธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัว ลองสังเกตสีสัน ลักษณะของต้นไม้ ดอกไม้ ลองรับรู้ถึงสายลมที่มาสัมผัสกาย รับฟังเสียงนก เสียงใบไม้ เสียงธรรมชาติรอบตัว บางทีเราอาจจะพบว่า เราสามารถสัมผัส เชื่อมโยงกับธรรมชาติรอบตัว ได้ แม้จะยังไม่มีโอกาสไปอยู่ในป่าจริงๆ ก็ตาม
- ทำกิจกรรมบริเวณด้านนอกอาคารมากขึ้น : ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะไปออกกำลังกายในยิม ลองหาโอกาสไปออกกำลังกายในสวนกันบ้าง หรือเราทำงาน มีประชุมกันบ่อยๆ แทนที่จะนั่งอุดอู้อยู่ในห้องประชุม ก็ลองหาโอกาสไปนัดประชุมกันที่ร้านที่มีที่นั่งด้านนอกอาคาร มีต้นไม้ ดอกไม้ สวนหย่อม หรือสระน้ำ ให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติมากขึ้น ก็อาจจะทำให้การประชุมมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นได้
- ปลูกผัก หรือต้นไม้ไว้ที่บ้านอย่างน้อยสัก 1 ต้น : แม้ว่าจะอยู่ไกลจากสวนสาธารณะ แต่เราสามารถทำบริเวณบ้านเราให้มีพื้นที่สีเขียวได้ หากมีพื้นที่มากหน่อย อาจจะทำสวน ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หรือหากไม่มีพื้นที่นัก ก็อาจจะปลูกผัก หรือปลูกพืชที่ชอบลงกระถางสักต้น ใช้เวลาก่อนออกจากบ้าน และหลังจากกลับที่ทำงาน ดูแล รดน้ำ อยู่กับต้นไม้นั้นสัก 5-10 นาที แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงเวลาคุณภาพ ที่คนกับธรรมชาติได้สื่อสาร เชื่อมโยง ดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งก็มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อย ที่พบว่าการปลูกผัก ทำสวนนี้ มีส่วนช่วยให้จิตใจสงบ รู้สึกผ่อนคลาย หายเครียดได้มาก
ถ้าต้องมีชีวิตในอาคาร จะทำยังไง
อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า การออกไปอยู่ในธรรมชาตินั้นดี แต่ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ก็ทำให้มีข้อจำกัดในการออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งกันมากขึ้น และก็อาจส่งผลทำให้หลายคนเกิดความเครียดขึ้นมาได้โดยไม่รู้ตัว คราวนี้ จะทำยังไงได้บ้าง เมื่อลองค้นคว้าข้อมูลดู ก็พบว่ามีคำแนะนำที่น่าสนใจหลายอย่าง ดังนี้
- เปิดม่านออก : มีการศึกษาวิจัย พบว่า หากเราเปิดม่านให้แสงจากธรรมชาติได้เข้ามาในห้อง แสงธรรมชาติจะมีส่วนช่วยทำให้อาการซึมเศร้าลดลง และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น อย่างในโรงพยาบาล เขาก็พบว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในห้องที่แสงธรรมชาติส่องถึงนั้น มีความเครียดน้อยกว่า และมีอาการปวดน้อยกว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในห้องที่มืดๆทึมๆ
- พักสายตา ด้วยการมองออกไปในธรรมชาติ : งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Melbourne พบว่า การที่เรามองออกไปยังธรรมชาตินอกกระจกอย่างน้อย 40 วินาที มีส่วนช่วยทำให้เรามีสมาธิดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยทำให้ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้นด้วย ดังนั้น หากไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ก็ลองหยุดพักสายตาแล้วมองออกไปยังธรรมชาติด้านนอกบ้างนะคะ
- ออกแบบอาคาร และใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ก็มีส่วนช่วยทำให้เราสัมผัสกับธรรมชาติได้ดีกว่าใช้เฟอร์นิเจอร์จากวัสดุอื่นๆ รวมถึงเลือกใช้สีสันจากธรรมชาติในการตกแต่งบ้าน อาจจะมีผิวสัมผัสจากธรรมชาติด้วย เขาเชื่อว่าการออกแบบ เลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติเหล่านี้ จะมีส่วนช่วยทำให้คนเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในอาคาร
- ใช้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ลดความเหนื่อยล้า เช่นกลิ่นตะไคร้ กลิ่นมินท์ เป็นต้น
- ฝึกสมาธิ เชื่อมโยงกับธาตุทั้ง 5 ในธรรมชาติ คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และ ธาตุอากาศ หรือ ที่เรียกว่า space โดยมีวิธีง่ายๆคือ
– เลือกของที่แทนธาตุต่างๆได้ เช่น ธาตุดิน คือ ต้นไม้ หรือหิน ธาตุน้ำ คือ น้ำสักถ้วย ธาตุไฟ คือ เทียน ธาตุลมคือ ขนนก หรือสมุนไพรแห้ง ธาตุอากาศ อาจจะเป็นรูปท้องฟ้า หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกสว่าง และเติบโต
– หาที่สงบๆ นั่งในท่าผ่อนคลาย หลับตา อยู่กับตัวเองสัก 2 นาที
– เปิดตา และหยิบของแทนธาตุมาครั้งละ 1 อย่าง ลองมอง สัมผัส ดมกลิ่น เปิดประสาทสัมผัส รับรู้ เชื่อมโยงกับของสิ่งนั้นให้ได้มากที่สุด และทำสมาธิรับรู้ถึงคุณสมบัติของแต่ละธาตุ อย่างธาตุดิน มีคุณสมบัติของความหนักแน่น มั่นคง ธาตุน้ำ มีคุณสมบัติของ ความเรียบง่าย ลื่นไหล ธาตุไฟ มีคุณสมบัติของความมีพลัง มีการเปลี่ยนแปลง ธาตุลม มีคุณสมบัติของความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ เบาสบาย และธาตุอากาศ มีคุณสมบัติของความกว้างใหญ่ไพศาล ความเป็นไปได้ทั้งปวง ขณะทำลองสังเกตความรู้สึกภายในตัวเอง และอยู่กับตัวแทนของธาตุ รวมถึงนึกถึงคุณสมบัติของแต่ละธาตุอย่างน้อยธาตุละ 5 นาที
– อย่าลืมขอบคุณของที่เป็นตัวแทนแต่ละอย่าง หลังจากที่หยิบขึ้นมาสัมผัส เชื่อมโยงนะคะ
ลองหาโอกาสฝึกกันดูนะคะ วิธีนี้ อาจจะช่วยทำให้เราเรียนรู้ที่จะสัมผัส เชื่อมโยงกับธรรมชาติได้มากขึ้น ไม่เพียงธรรมชาติรอบตัว แต่รวมถึงธรรมชาติในตัวเรา ซึ่งต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ที่สำคัญคือ เราสามารถทำได้ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดให้เราไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งได้ก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
https://www.wellbeing.com.au/at-home/home/heard-biophilic-design-find-bring-nature-indoors.html
https://www.npr.org/sections/thesalt/2012/02/17/147050691/can-gardening-help-troubled-minds-heal
https://chopra.com/articles/how-to-incorporate-the-5-elements-into-meditation-practice
https://www.australiaunlimited.com/food/indira-naidoo-and-her-edible-balcony