เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและผลผลิต ด้วยเทคนิคการปลูกผักแบบ Bio Intensive

ส่งท้ายปีเก่า ด้วยการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ไปเรียนรู้เทคนิคการปลูกผักใหม่ๆ ที่มูลนิธิธรรมะเกษตรธรรมชาติได้ทดลองทำอยู่บนภูแสนดาว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา 

ศาสตร์ที่คุณเอกภพ เสตะพันธุ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิได้ศึกษาและนำมาทดลองทำ และสามารถที่จะหาวิธีพลิกฟื้นพื้นดินที่เสื่อมโทรมแห้งแล้ง ให้กลายเป็นพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตที่งอกงามขึ้นได้ภายในเวลาไม่นานคือศาสตร์แห่งเกษตรอินทรีย์องค์รวมที่ผสมผสานทั้งศาสตร์โบราณ ศาสตร์สมัยใหม่ ศาสตร์ตะวันออก และศาสตร์ตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

หนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่คุณเอกภพนำมาใช้ ก็คือ เทคนิคการปลูกผักที่เรียกว่า Bio Intensive ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดย John Jeavons

ถามว่าเทคนิคนี้มีความพิเศษอย่างไร ก็คงต้องบอกว่าเขาพบว่าเทคนิคนี้สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพของความอุดมสมบูรณ์ของดินขึ้นมาได้เร็วกว่ากระบวนการธรรมชาติถึง 60 เท่า และสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นถึง 2-6 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่าการทำเกษตรอินทรีย์แบบ Bio Intensive นี้ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นช่วยลดการใช้น้ำได้ 67-80 %  ช่วยลดการใช้ปุ๋ยได้ 50-100 % และช่วยลดการใช้พลังงานได้ 99 %  เลยทีเดียว

สำหรับหลักสำคัญของการปลูกผักแบบ Bio Intensive สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

  • ขุดพรวนดิน เพื่อเตรียมดินเริ่มต้นลึก 1 เมตร เพื่อช่วยให้รากพืชเติบโต และสามารถหาธาตุอาหารในดินชั้นล่างได้ดี

  • บำรุงดินและสิ่งมีชีวิตในดินโดยใช้ปุ๋ยหมักจากวัตถุดิบในท้องถิ่น

  • เพาะกล้า และย้ายกล้าปลูกซึ่งจะช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ใช้พื้นที่น้อย ใช้น้ำน้อย และได้ผลผลิตมาก

  • ปลูกพืชแน่นชิด เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยคลุมหน้าดิน ช่วยลดวัชพืช และสามารถช่วยรักษาความชื้นในดินได้อย่างดี

  • ปลูกพืชหมุนเวียน และปลูกพืชหลายชนิดที่เกื้อกูลกัน เพื่อช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน ช่วยลดโรคและแมลงศัตรูพืช
  • รดน้ำในปริมาณที่พอดี ทั่วถึง สม่ำเสมอ เพื่อไม่ทำให้ดินแน่น ทำให้พืชเจริญเติบโตดี และช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ได้
  • ปลูกพืชที่เป็นทั้งอาหารพืช และอาหารคน โดยแบ่งสัดส่วนพืชที่ปลูกออกเป็น 60 % ปลูกพืชที่มีลำต้นสูงใหญ่ อย่างข้าวโพด ข้าวฟ่าง โดยสามารถนำเมล็ดธัญพืชมาเป็นอาหาร ส่วนลำต้นและใบก็นำไปใช้เป็นปุ๋ยหมัก อีก 30 % ให้ปลูกพืชกินหัว พวกเผือก มัน  ซึ่งสามารถเก็บไว้กินได้นาน ส่วนอีก 10 % ให้ปลูกพืชกินใบและผลไม้
  • ใช้และเก็บเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ซึ่งสามารถเก็บพันธุ์เพื่อปลูกต่อได้
  • รักษาระบบนิเวศน์ทั้งหมดแบบเป็นองค์รวม โดยเน้นการบำรุงและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินในระยะยาวอย่างยั่งยืน และอนุรักษ์แมลงที่มีประโยชน์

ใครสนใจลองนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ปรับใช้ให้สอดคล้องกับพื้นที่ที่ตนเองมีกันดูนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่พอจะมีที่ดิน และพบว่าสภาพดินของตนเองไม่มีคุณภาพเท่าไหร่ การปรับปรุงดินด้วยเทคนิควิธีนี้น่าจะมีส่วนช่วยทำให้ดินฟื้นฟูสภาพกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้เร็วขึ้น ดังที่ที่มูลนิธิธรรมะเกษตรธรรมชาติได้ทดลองทำมาแล้ว  เรียกว่าไปดูสภาพผืนดินดังเดิมที่นั้น กับความอุดมสมบูรณ์ของพืชผักที่เขาสามารถปลูกได้หลังจากการปรับปรุงดินด้วยเทคนิคนี้แล้ว ใครที่กำลังท้อใจว่าดินที่บ้านไม่ดี ปลูกอะไรไม่งาม ก็คงจะต้องกลับใจ และมีกำลังใจขึ้นอย่างมากมายเลยทีเดียวล่ะคะ

ขอบคุณข้อมูลเเละประสบการณ์ดีๆจากมูลนิธิธรรมะเกษตรธรรมชาติค่ะ