จากรายงานของสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร แสดงให้เห็นว่า ในปีงบประมาณ 2553 มีปริมาณขยะมูลฝอยที่จัดเก็บได้ในกรุงเทพมหานคร มากถึง 2 ,928,818.15 ตัน ซึ่งหากคิดโดยเฉลี่ยแล้วก็พบว่า ในแต่ละวันนั้นมีปริมาณขยะมูลฝอยที่จัดเก็บถึง 8,742.74 ตัน
จะว่าไปตัวเลขนี้ อาจจะไม่สร้างความเดือดร้อน จนทำให้คนหันมาตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการลดปริมาณ และจัดการขยะมากนัก เพราะแต่ละวันที่เราทิ้งไป ก็มีพนักงานมาช่วยเก็บไปทิ้งให้ไกลห่างตัวอยู่เป็นกิจวัตร แต่หลังจากเกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ เชื่อว่าน่าจะทำให้ใครหลายคนเริ่มตระหนักถึงปัญหา และผลกระทบที่เกิดจากขยะไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องไม่มีคนมาช่วยเก็บขยะเหมือนก่อน เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ หรือกลิ่นน้ำเน่าเสียที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นให้สูดดมอยู่ทุกวัน ซ้ำร้าย หากเราไม่รีบหาทางแก้ไข นอกจากกลิ่นเน่าเหม็นแล้ว เจ้าขยะเหล่านี้ยังอาจกลายบ่มเพาะ และแพร่เชื้อโรคระบาดอย่างโรคฉี่หนู ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้อีกด้วย
ใครที่เป็นผู้ประสบภัย หรือไม่ประสบภัย แต่มีใจอาสา อยากจะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม นอกจากการลงเงิน ลงแรง ช่วยแพ็คของ แบกของ ลุยน้ำกู้ภัย รวมถึงการช่วยปั้นก้อนจุลินทรีย์บอลแล้ว การรู้จักจัดการขยะในครัวเรือนตัวเอง ก็ถือว่ามีส่วนช่วยชาติได้ไม่น้อยเช่นกัน โดยอยากจะขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำวิธีการจัดการเศษอาหารในครัวเรือนอย่างง่ายๆ ให้รู้จักกัน
สำหรับบ้านที่พอจะหา “เศษใบไม้แห้ง” ได้ มีขั้นตอนการทำดังนี้
- หาถังมา 1 ใบ เจาะรูรอบๆ ด้านข้าง และด้านล่าง
- ใส่เศษใบไม้ประมาณ ½ ถัง
- ใส่เศษอาหารที่เหลือทิ้งแต่ละวันลงไป โดยควรเทน้ำจากเศษอาหารออก แล้วคลุกกับเศษใบไม้ให้เข้ากัน
- หากใบไม้ยุบลง ก็ให้หามาเติมใหม่เรื่อยๆ โดยมีหลักอยู่ว่าเศษใบไม้จะต้องมากกว่าเศษอาหาร ทั้งนี้เพราะเราจะอาศัยจุลินทรีย์ใบไม้ให้ช่วยย่อยเศษอาหาร ทำให้ไม่ส่งกลิ่นเหม็นนั่นเอง
- รดน้ำหมักชีวภาพเพื่อเพิ่มความชื้นเล็กน้อย
- เมื่อเศษอาหารเต็ม ให้ปิดฝา และหาของหนักๆ วางทับฝาไว้
- ทิ้งไว้ 1 เดือน ก็จะได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพ สามารถใช้บำรุงพืชผัก และต้นไม้ได้อย่างดี
วิธีนี้เราสามารถเติมเศษอาหารลงไปได้ทุกวัน จนกว่าจะเต็มถัง เพียงแต่มีหลักสำคัญคือ “ทุกครั้งที่เติม จะต้องคลุกเศษอาหารกับใบไม้ให้เข้ากันเสมอ” นอกจากนี้ หากเป็นเศษอาหารจำพวกก้าง หรือกระดูกแข็งๆ ก็ควรป่นให้ละเอียดก่อน หรืออาจจะคัดออกไปทิ้งต่างหากก็ได้ ที่สำคัญควรวางถังไว้ในที่ร่ม และเป็นบริเวณที่สามารถปล่อยให้น้ำจากถังไหลซึมออกมาได้ เพราะหากในถังมีความชื้นมากเกินไป ก็อาจจะมีน้ำไหลออกมาจากด้านล่างบ้างเล็กน้อย