ศิลปะแห่งการเชื่อมโยงทางพุทธศาสนากับการทำนาข้าวอินทรีย์ในไทย

งานวิจัยที่ศึกษา มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ระดับโลก (เช่น IFOAM) มีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับ ค่านิยมและความเชื่อทางพุทธศาสนาในท้องถิ่น ภายในเครือข่ายการผลิตข้าวอินทรีย์ทั่วโลก โดยเน้นที่ชุมชนเกษตรกรในประเทศไทย ข้อค้นพบที่สำคัญคือ ความสำเร็จของการทำเกษตรอินทรีย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำตามกฎระเบียบสากลเท่านั้น แต่ได้รับแรงผลักดันอย่างมากจาก หลักการทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแนวทางให้เกษตรกรหวนกลับไปเชื่อมโยงกับผืนนาด้วยวิธีที่มีสติ ส่งผลให้พวกเขามีชีวิตที่มีความหมายและมีแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น เครือข่ายข้าวอินทรีย์ระดับโลกจึงไม่ได้ถูกกำหนดโดยการรับรองอย่างเป็นทางการเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกหล่อหลอมด้วยการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าในระดับชุมชนอีกด้วย

แนวคิดหลัก: การทำเกษตรอินทรีย์มีค่ามากกว่าแค่ “มาตรฐาน”

งานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ในประเทศไทย และพบว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่และคงอยู่ในการทำเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่การทำตามกฎระเบียบสากลหรือการได้ตราประทับรับรองเท่านั้น แรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของการทำนาอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จ คือ การยึดโยงกับค่านิยมท้องถิ่นและความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักการของพระพุทธศาสนา

เมื่อเกษตรกรตัดสินใจทำเกษตรอินทรีย์ พวกเขาไม่ได้แค่เปลี่ยนปัจจัยการผลิต แต่ได้ทำการ เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และวิถีชีวิต ครั้งสำคัญ 

การเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับผืนดิน

ผลการศึกษาวิจัยพบว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ในไทยได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก จินตภาพทางเศรษฐกิจและสังคมแบบพุทธ นั้นหมายความว่า หลักการทางพุทธศาสนา เช่น ความมีสติ (Sati) และ ความเชื่อมโยงถึงกันเป็นสิ่งที่นำทางในการตัดสินใจทำเกษตรของพวกเขา ซึ่งสามารถแยกความแตกต่างได้ 2 แง่มุม ดังนี้

  • แนวทางการทำเกษตรแบบทั่วไป จะเน้นทำกำไรและผลผลิตให้ได้สูงสุด ให้ความสำคัญกับศักยภาพทางการผลิต เช่น ปุ๋ย ผลผลิต ต้นทุน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
  • แนวทางการทำเกษตรที่เชื่องโยงกับแนวคิดแบบพุทธ จะเน้นสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ความยั่งยืน และคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย มีสติ และอยู่ร่วมกับระบบนิเวศอย่างกลมกลืน วิถีการทำเกษตรจึงมุ่งไปที่กระบวนการและความตั้งใจ (ลดอันตราย, สร้างความตระหนักรู้ต่อสิ่งแวดล้อม

การบูรณาการคุณค่าทางจริยธรรมหรือวัฒนธรรมเข้ากับปรัชญาการทำฟาร์มของคุณ สามารถนำไปสู่ความสุขส่วนตัวที่มากขึ้น ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และความผูกพันที่ลึกซึ้งและมั่นคงกับงานและชุมชนของคุณ เป็นการพิสูจน์ว่า ค่านิยมก็เป็นผลผลิตอันมีค่าอย่างหนึ่งเช่นกัน

คุณค่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเมล็ดข้าว

งานวิจัยพบว่า ความสำเร็จและความมั่นคงของการผลิตข้าวอินทรีย์ไม่ได้เกิดขึ้นจากกระบวนการรับรองมาตรฐานเพียงอย่างเดียว แต่มัน “ถูกกำหนดอย่างมากด้วยค่านิยมชุมชนและการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้คนในท้องถิ่น”

  • คุณกำลังสนับสนุนวิถีชีวิตทั้งหมด เมื่อคุณซื้อข้าวจากชุมชนเหล่านี้ คุณไม่ได้เพียงซื้อผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารเคมี แต่คุณกำลังสนับสนุนเครือข่ายการทำฟาร์มที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของชุมชน ความสมดุลทางนิเวศวิทยา และความสัมพันธ์ที่มีจริยธรรม มากกว่าผลกำไรในระยะสั้น
  • ระบบมีความยืดหยุ่น กลุ่มเกษตรกรเหล่านี้สร้างระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืนกว่า เพราะพวกเขาสร้างแนวทางปฏิบัติบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกันและการสนับสนุนจากชุมชน ซึ่งแตกต่างจากการพึ่งพามาตรฐานสากลหรือแรงกดดันทางการตลาดเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่ผู้บริโภคนำไปใช้ได้: การเลือกผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรที่มีปรัชญาชัดเจนและขับเคลื่อนด้วยค่านิยมท้องถิ่น หมายความว่าคุณกำลังลงทุนในระบบอาหารที่เป็นธรรม มีสติ และยั่งยืนในระยะยาว ลองมองหาเรื่องราวเบื้องหลังอาหารของคุณ เพราะบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านั้นมีความหมายมากกว่าแค่ฉลาก

บทสรุป: พลังของภูมิปัญญาท้องถิ่น

ในที่สุด ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมิปัญญาชุมชน เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการบริหารจัดการและธำรงรักษาระบบอาหารโลกให้ยั่งยืน การเกษตรที่ดีที่สุดคือการผสมผสานมาตรฐานทางเทคนิคที่เข้มงวด เข้ากับกรอบความคิดทางศีลธรรมและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกนั่นเอง

Reference

https://link.springer.com/content/pdf/10.1007/s10460-022-10363-w.pdf