มาทำความรู้จักระบบอาหารท้องถิ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การผลิตและการตลาดด้านอาหารในท้องถิ่นมีได้เผชิญกับวิกฤตนานับประการ ผู้คนต่างเสาะหาอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ในแง่ของรสชาติ ดีต่อสุขภาพ และปลอดภัย แต่ยังสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นของพวกเขา ชาวนากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการและใช้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจ ระบบอาหารของชุมชนหรือท้องถิ่นได้เกื้อหนุนเกษตรกรจำนวนมาก โดยเฉพาะเกษตรกรระดับกลางและผู้ผลิตรายย่อย พบว่า การผลิตและการขายเข้าสู่ระบบอาหารชุมชน คือ ทางเลือกเดียวสำหรับพวกเขา เนื่องจากไม่มีการประหยัดจากขนาดหรือทรัพยากรทางการเงินเพื่อแข่งขันในตลาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของระบบอาหารท้องถิ่น กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ Know Your Farmer Know Your Food มุ่งสร้างความเข้มแข็งในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภคภายในสหรัฐอเมริกา โดยโครงการนี้ได้สำรวจแนวคิดของระบบอาหารท้องถิ่นและจัดหาทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้บริโภคและชุมชนในการพัฒนาระบบอาหารที่ฟาร์มและธุรกิจที่สามารถทำกำไรและอยู่รอดได้ รวมถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ เสริมสร้างชุมชนและความสัมพันธ์ในชนบทและในเมืองมิสซูรี

นิยามของ “ระบบอาหารท้องถิ่น”

ระบบบอาหารท้องถิ่นสามารถขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคอาหารโดยผนวกความสัมพันธ์ทางสังคมและการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวมศูนย์ ณ ที่แห่งหนึ่ง ระบบอาหารประกอบไปด้วยทุกๆ อย่าง ตั้งแต่การผลิตอาหารแบบส่วนตัวและเชิงพาณิชย์ ไปจนถึงการแปรรูป การตลาด การขนส่ง การค้าปลีกและการบริโภคบนโต๊ะอาหาร ในระบบอาหารท้องถิ่นหน่วยย่อยเหล่านี้จะอยู่ภายในพื้นที่แห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภายในชุมชุนเอง พื้นที่มหานคร ไปจนถึงระดับภูมิภาค 

กรมวิชาการเกษตรสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่ายังไม่มีการนิยามหรือให้ความหมายของระบบอาหารลงไปอย่างแน่ชัดว่าควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อพิจารณาแนวคิดของระบบอาหาร นักวิจัยก็ให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่คำล้วนมีความหมายที่ไม่ต่างกันมากนัก

เกษตรพลเมือง (civic agriculture) 

การเชื่อมโยงการบริโภคกันภายในชุมชนภายใต้การเกษตรและการผลิตอาหารในชุมชน ซึ่งให้ผลผลิตที่สดใหม่ ปลอยภัย และผลิตภายในชุมชน ทำให้เกิดการจ้างงาน กระตุ้นความเป็นผู้ประกอบการ และเสริมสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน

ความมั่นคงทางอาหารของชุมชน (community food security)

ระบบอาหารยั่งยืนที่สร้างการพึ่งพาตนเองและความยุติธรรมทางอาหารให้มากที่สุด สร้างอาหารที่ปลอยภัย สอดคล้องวัฒนธรรมการกิน มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอแก่ผู้อยู่อาศัยในชุมชน

ระบบอาหารชุมชน (community food system)

การผนวกรวมการผลิตอาหาร การแปรรูป การขนส่ง และการบริโภคอย่างยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมและโภชนาการ ณ พื้นที่แห่งหนึ่ง

ระบบอาหารท้องถิ่น (local food system)

บ่อยครั้งที่มักนิยามจากการจัดรูปแบบทางการตลาด อย่างเช่น เกษตรกรขายผลผลิตให้ผู้บริโภคโดยตรงตามท้องตลาดหรือโรงเรียน ซึ่งระบบอาหารท้องถิ่นประกอบไปด้วยผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าไว้ด้วยกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง โดยผสานแง่มุมทางสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน

ระบบอาหารท้องถิ่นจะเน้นไปที่การผลิตอาหารหรือช่องทางการตลาดทางเลือกที่จะเชื่อมโยงเกษตรกรและผู้บริโภคเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของระบบอาหารท้องถิ่นในด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมก็สามารถรับรู้ได้หลายอย่าง อาทิ

  • การสร้างการเชื่อมโยงทางสังคม เพิ่มระดับความสัมพันธ์และการแชร์องค์ความรู้ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
  • สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ผลิตอาหารผ่านการพัฒนาพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้อยู่ในท้องถิ่นและภูมิภาคต่างๆ
  • สนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตอาหารและผู้กระจายสินค้าโดยการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่างที่ต้องส่งอาหารออกไปขายนอกพื้นที่การผลิต

นักวิจัยได้ให้คำแนะนำว่าระบบอาหารของชุมชนให้ประโยชน์หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น การเน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง การมีปฏิสัมพันธ์ การมีส่วนร่วม และการมีสุขภาพที่ดีแก่คนในชุมชนเองและเกื้อหนุนเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น

ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากอาหารที่มาถึงครัวของพวกเขาหลังการเก็บเกี่ยวได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งช่วยให้ของสดใหม่ขึ้น รสชาติดีขึ้นและลดต้นทุนการขนส่ง การซื้อ-ขายอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นจะหมายถึงการรู้จักเกษตรกรหรือผู้ผลิต และเข้าใจวิธีการผลิตและแปรรูปอาหารที่ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้การซื้อในท้องถิ่นยังให้ผู้บริโภคเห็นคณค่าของคุณภาพของอาหารตามฤดูกาล การกินอาหารตามฤดูกาลสามารถปลุกจิตสำนึกในการกินเพื่อสุขภาพและอาจส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้ที่เพิ่มขึ้นและทักษะในการถนอมอาหารและเทคนิคการปรุงอาหารซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณค่าการรับรู้ของผลผลิตตามฤดูกาลที่ปลูกในท้องถิ่น 

เกษตรกรได้รับประโยชน์เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวกับท้องถิ่น ผู้อยู่อาศัยและผู้ซื้อในภูมิภาคอาจนำไปสู่ทางเลือกอื่นๆ โอกาสทางการตลาดที่สามารถเพิ่มยอดขายและทำกำไร สร้างรายได้ที่หลากหลายให้กับเกษตรกรผ่านการพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ เกษตรกรสามารถระบุพืชผลที่จะเลี้ยงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและกระจายความหลากหลายของการผลิตและโอกาสทางการตลาดของพวกเขาเพื่อการผลิตอาหารอย่างมั่นคง สนับสนุนระบบอาหารท้องถิ่น สนับสนุนองค์ความรู้ท้องถิ่นในด้านเทคนิคการเกษตรและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่พัฒนาศักยภาพสู่การทำฟาร์มขนาดเล็ก ค่าใช้จ่ายของการทำฟาร์มขนาดใหญ่หรือผลิตสินค้าโภคภัณฑ์สามารถยับยั่งไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ได้ เกษตรกรในขณะที่เริ่มเป็นผู้ผลิตอาหารท้องถิ่นและการสร้างธุรกิจด้วยขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ สามารถทำได้ง่ายกว่า สุดท้าย การผลิตและการตลาดอาหารในอาหารท้องถิ่น ตัวระบบต้องใช้ทักษะในวิธีการผลิตต่างๆ การตลาดแบบตัวต่อตัวและรูปแบบการจัดจำหน่ายใหม่ และส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มทักษะหรือรับพนักงานหรือสมาชิกในครอบครัวเข้าสู่ธุรกิจการเกษตร

ชุมชนเองก็ได้รับประโยชน์เพราะสนับสนุนระบบอาหารท้องถิ่น ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น การซื้อ-ขายจากเกษตรกรในท้องถิ่น ก็จะหมายถึง เงินจากการซื้อขายอาหารก็จะหมุนเวียนในชุมชนแทนที่จะไหลออกไปยังรัฐและประเทศอื่นๆ ในท้องถิ่นฟาร์มสามารถจ้างสมาชิกในครอบครัว เพื่อนบ้าน เยาวชน และชาวบ้านในชุมชนอื่นๆ การสนับสนุนระบบอาหารท้องถิ่นยังหมายถึงการสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ อาหารท้องถิ่น ระบบต้องการผลผลิต ผู้ประกอบการ นวัตกรรมสู่เกษตรกร แหล่งผลิตอาหารชุมชนเพื่อการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์

สินค้า โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการตลาดและผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับท้องถิ่น เศรษฐกิจ การผลิตและซื้ออาหารในระบบท้องถิ่น เพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารเพราะอาหารที่ผลิตในชุมชนมีโอกาสน้อยที่จะต้องพึ่งพาการคมนาคมขนส่ง ปัญหาการระบาดของโรคที่เกิดจากอาหารในวงกว้างสภาพอากาศและต้นทุนเชื้อเพลิงสูง

ระบบอาหารท้องถิ่นยังสร้างโครงสร้างทางสังคมของชุมชนโดยสนับสนุนการพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวใหม่ๆ ระหว่างเกษตรกรกับลูกค้าและธุรกิจใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกร ร้านขายของชำ และร้านอาหาร พวกเขาสามารถให้โอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมในงานที่เกี่ยวข้องกับอาหารเช่นเกษตรกร ตลาด สวนผักชุมชน และพื้นที่อาหารของพวกเขายังเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้พูดคุยกับเกษตรกรในท้องถิ่นเกี่ยวกับวิธีการผลิตและการสนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อมโดยใช้อาหารและผลิตภัณฑ์ที่อาจผลิตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น เกษตรกรยังสามารถสอนผู้คนเกี่ยวกับประโยชน์ของการทำเกษตรอินทรีย์ ใช้สารเคมีน้อยลงและการไถพรวนน้อย  และเน้นระบบฟาร์มที่อาศัยกระบวนการทางธรรมชาติเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน

การสร้างชุมชนที่ยืดหยุ่น

ประโยชน์เพิ่มเติมของระบบอาหารในท้องถิ่นคือโอกาสสำหรับชุมชนในการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตที่อาจส่งผลต่อการจัดหาอาหารได้ดีขึ้น ในขณะที่ประเทศของเราต้องจัดการกับภัยธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจ และความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ปริมาณและคุณภาพของอาหารสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความแห้งแล้ง น้ำท่วม พายุทอร์นาโด และการแช่แข็งช่วงปลายได้ทำลายพื้นที่ผลิตอาหารหลายเอเคอร์ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ความปลอดภัยด้านอาหารยังสร้างความหวาดกลัวต่อ เชื้อ E. coli และโรคที่เกิดจากอาหารอื่นๆ ได้จุดชนวนให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแหล่งอาหารของประเทศ  ชุมชนที่มีแหล่งอาหารในท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้นผ่านเกษตรกรในท้องถิ่น สวนผักชุมชน การเก็บรักษาอาหาร และศูนย์กลางอาหารระดับภูมิภาค หรือแหล่งรวบรวมผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น – อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าในการรักษาแหล่งอาหารที่มั่นคงและปลอดภัยในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ  ชุมชนที่มีระบบอาหารในท้องถิ่นรู้วิธีจัดการกับสภาพท้องถิ่นและสามารถตอบสนองต่อความท้าทายที่ส่งผลต่อการผลิตอาหารในภูมิภาคได้ดีขึ้น การเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยในท้องถิ่น และสม่ำเสมอช่วยสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถตอบสนองและฟื้นตัวได้เมื่อมีความท้าทายเกิดขึ้น

ระดับขั้นของระบบอาหาร

แบบจำลอง Tiers of the Food System ให้กรอบความคิดเกี่ยวกับระบบอาหาร ในระบบอาหารเฉพาะถิ่นหรือตามภูมิภาค โดยจุดสนใจหลักอยู่ที่ระดับ 0-2

ระดับ 0: การผลิตอาหารส่วนบุคคล

ระดับที่เป็นท้องถิ่นมากที่สุดของระบบอาหารคือระดับ 0 ในระดับนี้ เราเชื่อมโยงกันด้วยวิธีพื้นฐานที่สุดกับอาหารของเรา เพราะเราผลิต ปรุง หรือถนอมอาหาร จากนั้นจึงรับประทาน  ระดับ 0 ประกอบด้วยสวนผักในบ้านและชุมชน การล่าสัตว์และการตกปลา และการเก็บรักษาอาหารในบ้าน  ชาวสวนในบ้านสามารถผลิตอาหารตามความต้องการและความชอบของครอบครัว เก็บเกี่ยวผลิตสดจากสวน เพิ่มความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการกินตามฤดูกาล และช่วยให้ผู้อื่นรู้จักทักษะและความพยายามที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหาร  ในสวนผักชุมชน ผู้อยู่อาศัยจะแบ่งปันเทคนิคและความรู้เกี่ยวกับการทำสวนผักไปพร้อมๆ กับปลูกอาหารให้กับชุมชนในที่ที่มีร่วมกัน  การเก็บรักษาอาหารพื้นบ้านจะทำให้ครอบครัวมีแหล่งผลิตผลที่ดีต่อสุขภาพตลอดทั้งปี อาจลดขยะและค่าใช้จ่ายด้านอาหาร และอาจเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาอาหาร

ระดับที่ 1: ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างเกษตรกรกับคนกิน

ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างผู้ผลิตอาหารกับผู้บริโภคแสดงถึงลักษณะชั้นที่ 1 ของระบบอาหาร  ในระดับที่ 1 ผู้ผลิตอาหารคือนักการตลาดโดยตรงขายในท้องถิ่น อาหารที่ผลิตและวางขายที่ตลาดเกษตรกร แผงขายอาหารริมถนน และการขายตรงสู่ผู้ผลิตและระบบเกษตรที่สนับสนุนโดยชุมชน (CSA)  

ตลาดเกษตรกรมักถูกมองว่าเป็นรูปแบบการค้าที่เก่าแก่ที่สุด ตลาดของเกษตรกรเสนอวิธีการขายผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยในราคาที่พวกเขากำหนด  อัฒจันทร์ริมถนนและการดำเนินการ u-pick นำเสนอรูปแบบการตลาดที่ง่ายขึ้นสำหรับเกษตรกร ทำให้พวกเขาสามารถย้ายผลิตภัณฑ์จากทุ่งไปยังที่ตั้งในฟาร์มเพื่อขาย และเพื่อเชิญผู้คนเข้าสู่ฟาร์มเพื่อทำการซื้อ  CSA นำเสนอตัวอย่างที่ซับซ้อนที่สุดของความสัมพันธ์ระดับ 1 ระหว่างเกษตรกรและผู้กิน  ชาวบ้านในท้องถิ่นลงทุนในการทำฟาร์มหรือกลุ่มฟาร์ม แบ่งปันความเสี่ยงในการผลิตและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของฤดูปลูก  รูปแบบความสัมพันธ์นี้ซับซ้อนกว่าเพราะอาจต้องมีการลงนามในสัญญา การชำระเงินล่วงหน้าสำหรับมูลค่าผลิตภัณฑ์ทั้งฤดูกาล และประสบการณ์การทำงานในฟาร์มสำหรับสมาชิก CSA  ความสัมพันธ์ระดับที่ 1 ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภคมักส่งผลให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบอาหารในท้องถิ่น

ระดับที่ 2: ก้าวข้ามความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรและการกินโดยตรง

ในระดับที่ 2 เป้าหมายคือการทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในท้องถิ่นหรือระดับภูมิภาคมีจำหน่ายในร้านค้าต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เนื่องจากไม่ใช่ว่าผู้บริโภคทุกคนจะมีเวลา ความรู้ หรือความปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเกษตรกร  แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะสนุกกับการมีส่วนร่วมใน CSA และตลาดของเกษตรกร แต่คนอื่นๆ ก็ต้องการความสะดวกในการเข้าถึงอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นและระดับภูมิภาคในร้านขายของชำ ร้านอาหารในท้องถิ่น หรือบริการอาหารในโรงพยาบาลและโรงเรียน เกษตรกรบางคนชอบที่จะผลิตสินค้าสองสามอย่างที่พวกเขาสามารถทำการตลาดได้ในปริมาณที่มากขึ้น สร้างตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือสร้างมูลค่าโดยการพัฒนาระบบอาหารที่อิงจากพื้นที่ ในระดับที่ 2 อาหารที่ผลิตในท้องถิ่นจะย้ายจากพื้นที่อาหาร ไม่ว่าจะทำการตลาดโดยตรงโดยผู้ผลิตหรือผ่านผู้จัดจำหน่าย ผ่านช่องทางการตลาดต่างๆ เช่น ร้านขายของชำ ร้านอาหาร และบริการด้านอาหารของสถาบัน เช่น ในโรงเรียนและโรงพยาบาล  การย้ายอาหารผ่านช่องทางเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยการจัดหาอาหารจากเกษตรกรในที่ที่เข้าถึงได้ง่ายในสถานการณ์ต่างๆ  การย้ายจากความสัมพันธ์ทางการตลาดโดยตรงไปสู่ระดับที่ 2 มักเรียกว่า “การขยายระบบอาหารในท้องถิ่น” เนื่องจากเกษตรกรต้องผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุ บรรจุหีบห่อ หรือแปรรูปในปริมาณมากขึ้นในลักษณะที่ผู้ซื้อหรือผู้จัดจำหน่ายของชำจะยอมรับ  การขยายขนาดนี้อาจต้องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่สำหรับการบรรจุ การแปรรูป และการรวบรวมผลิตภัณฑ์อาหารจากผู้ผลิตหลายราย  การขายให้กับร้านขายของชำหรือบริการด้านอาหารของสถาบันมักต้องการให้เกษตรกรพัฒนาทักษะทางธุรกิจใหม่ๆ หรือเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงาน และอาจต้องการให้ร้านขายของชำ ผู้จัดจำหน่ายอาหาร และผู้อำนวยการบริการด้านอาหารปรับกระบวนการจัดซื้อเพื่อหาที่ตั้งแหล่งอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นซึ่งอาจหาได้ตามฤดูกาลเท่านั้น

จากคำกล่าวของ Bower, Doetch และ Stevenson (2010) “ความมุ่งมั่นในการกระจายความเสี่ยงและผลกำไรอย่างเป็นธรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานทำให้ธุรกิจระดับ 2 แตกต่างจากธุรกิจอื่นที่ใหญ่กว่า ธุรกิจระดับ 2 มักจะยอมรับแนวคิดจากระดับ 1 และลูกค้าของพวกเขาอาจเต็มใจ เพื่อจ่ายมากขึ้นสำหรับการยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ สินค้ามักจะถูกตรวจสอบย้อนกลับไปยังพื้นที่อาหารที่พวกเขาปลูกและเอกลักษณ์และคุณค่าของฟาร์มจะถูกสื่อสารไปยังผู้บริโภคผ่านการติดฉลากและการขายสินค้า ณ จุดขาย”  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพัฒนาระบบการระบุตัวตนที่ช่วยให้ผู้บริโภครู้ว่าพวกเขากำลังซื้อหรือรับประทานอาหารที่ผลิตโดยเกษตรกรในพื้นที่ของตนและตอบสนองความต้องการด้านรสชาติ คุณภาพ และความปลอดภัย

คำศัพท์เกี่ยวกับระบบอาหาร

ห่วงโซ่คุณค่าอาหาร (food value chain)

“เครือข่ายธุรกิจที่พึ่งพาการประสานงานระหว่างผู้ผลิตอาหาร ผู้จัดจำหน่าย และผู้ขายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินและสังคมร่วมกัน” (Diamond and Barham 2012, 1)

การขยายระบบอาหารท้องถิ่น (scaling up local food systems)

การพัฒนากำลังการผลิตและความสามารถขององค์กรในห่วงโซ่คุณค่าอาหารเพื่อย้ายอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นหรือระดับภูมิภาคเข้าสู่ตลาดกระแสหลัก  ตัวอย่างเช่น เกษตรกรอาจต้องผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความสม่ำเสมอในปริมาณมากขึ้น ซึ่งพวกเขาสามารถรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตรายอื่นเพื่อรองรับตลาดที่มีปริมาณมากขึ้น เช่น ร้านขายของชำหรือร้านอาหาร

เกษตรในเมือง (urban agriculture) 

“ปลูกและเลี้ยงพืชอาหารและสัตว์ในเขตเมืองเพื่อให้อาหารแก่ประชากรในท้องถิ่น เมืองต่างๆ เลือกที่จะจำกัดขอบเขตและเน้นคำจำกัดความนี้ในรูปแบบต่างๆ โดยมักจะจัดหมวดหมู่เกษตรในเมืองเป็นอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อไปนี้: สวนผักชุมชน สวนผักเชิงพาณิชย์ เกษตรชุมชน ตลาดเกษตรกร สวนผักครัวเรือน และพื้นที่อาหารในเมือง” (Goldstein et al.  2554, 4)

ระดับ 3 และ 4: ไม่ใช่แค่ระบบอาหารในท้องถิ่น

ความสัมพันธ์ระดับ 2 อาจไม่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรบางรายหรือธุรกิจที่ใช้อาหารเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องการจัดการกับผลผลิตทางการเกษตรและอาหารที่ผ่านการตรวจสอบแหล่งที่มาในปริมาณมาก  โอกาสและความสัมพันธ์บางส่วนเหล่านี้สามารถระบุได้ในระดับ 3 ดังที่ Bower, Doetch และ Stevenson (2010, 2) “เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงโดยบริษัทที่มีแบรนด์ที่มีการยอมรับอย่างกว้างขวาง ประสิทธิภาพและราคาที่ต่ำกว่ามักจะมีความสำคัญมากกว่าที่ระดับนี้มากกว่าเกษฑ์ในระดับที่ 1 และ 2 ในขณะที่ความสัมพันธ์กับพื้นที่อาหารมักจะสูญเสียในระดับนี้ ธุรกิจระดับ 3 มักจะพยายามปลูกฝังความสัมพันธ์เชิงบวกกับลูกค้า”  เกษตรกรพยายามสร้างความร่วมมือกับผู้จัดจำหน่าย ผู้แปรรูป ผู้ค้าส่ง และอื่นๆ ในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนแก่ชิ้นงานอย่างเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า  พวกเขาสามารถรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้ในฐานะสมาชิกของกลุ่มที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง เช่น นมออร์แกนิกหรือปศุสัตว์ที่เลี้ยงอย่างมีมนุษยธรรม  ธุรกิจที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอจำนวนมากเพื่อใช้เป็นฐานทางการตลาดของตน ตัวอย่างที่ดีของ Tier 3 คือ Chipotle ซึ่งเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่จัดหาผักที่ปลูกในท้องถิ่นและผลิตสินค้าจากเนื้อสัตว์อย่างยั่งยืนและอย่างมีมนุษยธรรมจากสหกรณ์เกษตรกรหรือสมาคมการตลาด อย่างไรก็ตาม ซัพพลายเออร์ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาเหล่านี้ไม่ได้กำหนดไว้สำหรับสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใดๆ และไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสามารถตอบสนองความต้องการที่มีปริมาณมากของเครือข่ายระดับประเทศได้

อาหารที่ผลิตและบริโภคในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ผ่านระดับ 0-3 ในทางกลับกัน ผู้บริโภค เกษตรกร และธุรกิจอาหารส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในระดับที่ 4 ซึ่งอิงจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่เหมือนกันในปริมาณมากสำหรับตลาดโลก อาหารดิบและอาหารแปรรูปมีการซื้อขายในตลาดโลกและเคลื่อนไหวโดยไม่เปิดเผยตัวภายในพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศ ระดับนี้บางครั้งเรียกว่าตลาดทั่วไปและมีการถกเถียงอย่างกว้างขวางในทรัพยากรส่วนขยาย

บทบาทของชุมชนในระบบอาหารท้องถิ่น

ชุมชนชนบท

แม้ว่าระบบอาหารในท้องถิ่นจะมีประโยชน์มากมายสำหรับทั้งชุมชนในเมืองและในชนบท แต่ชุมชนชนบทก็สามารถได้รับประโยชน์จากระบบอาหารท้องถิ่นที่มีชีวิตชีวาอย่างมีเอกลักษณ์  พื้นที่ชนบทมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในการผลิตอาหาร ไม่ว่าในฟาร์มหรือในบ้านสวน และบ่อยครั้งที่ความรู้และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหารมักหาได้จากสมาชิกในครอบครัว เพื่อนบ้าน และธุรกิจต่างๆ  ประวัติศาสตร์เกษตรกรรมในชุมชนยังสามารถนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น โรงบ่มไวน์และฟาร์มส่งสินค้าตรงถึงมือ (u-pick) และการทำตลาดอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นให้กับทั้งผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว  ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นในเขตเมืองทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับเกษตรกรในชนบทในการเพิ่มการผลิตอาหารสำหรับผู้บริโภคในเมืองที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค อันเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นพัฒนาการผลิต การตลาด การแปรรูปและการจัดจำหน่ายที่ใช้ประโยชน์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับอาหารที่ผลิตในท้องถิ่น

ผู้นำท้องถิ่น รัฐบาล และองค์กรไม่แสวงผลกำไรสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบอาหารท้องถิ่นในชนบทที่เข้มแข็ง การเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่สดใหม่อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้อยู่อาศัยนอกเขตเมืองในพื้นที่ห่างไกลของชนบท ด้วยตัวเลือกการขนส่งที่มีจำกัด ร้านขายของชำน้อยลง และรายได้เฉลี่ยที่ต่ำกว่าส่วนอื่นๆ ของรัฐ  ผู้นำชุมชนสามารถริเริ่มทางเลือกในการขนส่ง ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดเกษตรกรและสถานที่ขายอาหารอื่นๆ ใกล้สถานที่ให้บริการทั่วไป เช่น คลินิก WIC โรงพยาบาลในชนบท และศูนย์ผู้สูงอายุ และให้บริการเฉพาะด้านเพื่อพัฒนาสวนผักชุมชน การสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจผ่านนโยบายและสิ่งจูงใจสามารถช่วยให้เกษตรกรรายใหม่ในพื้นที่ชนบทขยายธุรกิจของตนเพื่อเข้าถึงลูกค้าในชนบทได้มากขึ้น คริสตจักร สมาคมชาวสวน กลุ่มพัฒนาชุมชน และองค์กรในชนบทอื่นๆ สามารถให้การสนับสนุนอาสาสมัครสำหรับการปลูกและแบ่งปันอาหารในท้องถิ่น และช่วยพัฒนาตลาดเกษตรกรที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน (CSA)

สวนผักและการดำเนินงาน CSA ระบบอาหารท้องถิ่นที่มีชีวิตชีวาอาจเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพสำหรับชุมชนในชนบท

เขตเมืองหรือปริมณฑล

เช่นเดียวกับน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ และปัญหาอาชญากรรมต่ำ อาหารมีความสำคัญต่อสุขภาพของชุมชนเมือง ระบบอาหารในเมืองที่ดีต่อสุขภาพจะสนับสนุนผู้ผลิตอาหารในท้องถิ่นและระดับภูมิภาค สร้างความสัมพันธ์ระหว่างชนบทกับเมือง สร้างเศรษฐกิจที่มีการแปล มักจะส่งเสริมการผลิตอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แสวงหาหนทางให้ความรู้ผู้คนเกี่ยวกับการผลิตประเภทต่างๆ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้อยู่อาศัยในชุมชนทุกคน และแสวงหาวิธีที่จะทำให้อาหารเพื่อสุขภาพเป็นทางเลือกที่ง่าย

ระบบอาหารในเมืองที่ดีต่อสุขภาพครอบคลุมหลายแง่มุมของชุมชนเมืองและชีวิตในเมือง นักวางผังเมืองและกลุ่มพัฒนาธุรกิจมักจะรวมตลาดของเกษตรกรและร้านขายของชำเข้าไว้ในการพัฒนาใหม่ๆ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชุมชน กลุ่มเพื่อนบ้าน สมาคมเจ้าของบ้าน และองค์กรบริการสังคม จัดตั้งสวนผักชุมชนเพื่อเพิ่มการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพราคาไม่แพง องค์กรชุมชนและผู้ให้บริการด้านสุขภาพสนับสนุนโครงการอาหารเพื่อสุขภาพและทำงานเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของผู้บริโภคในอาหารสด รัฐบาลชุมชนแสวงหาวิธีการใหม่ในการสร้างชุมชนผ่านการสนับสนุนนโยบายการผลิตอาหารในท้องถิ่น

เมื่อเร็วๆ นี้ กิจกรรมเหล่านี้ได้กระตุ้นการเติบโตในด้านการผลิตอาหารในเมืองที่เรียกว่า “เกษตรในเมือง” ความต้องการของผู้บริโภคสำหรับสินค้าท้องถิ่นที่สดใหม่ได้สร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้อยู่อาศัยในการเปลี่ยนที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้ใช้ให้กลายเป็นพื้นที่อาหารในเมือง  โรงเรียนได้กล่าวถึงการศึกษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีด้วยสวนผักในโรงเรียน ชุมชนธุรกิจเริ่มพิจารณาว่าจะจัดหาอาหารที่ปลูกในท้องถิ่นได้อย่างไร  ชาวเมืองได้ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การแบ่งเขตเมืองเพื่อให้มีการผลิตทางการเกษตร รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์และการค้าขาย ความพยายามเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นวิธีการสนับสนุนชุมชนภายในเขตเมืองหรือเขตปริมณฑล

ทว่าแม้ความสนใจในการพัฒนาการเกษตรในเขตเมืองจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะเชื่อว่าประชากรในเมืองจะมีความมั่นคงทางอาหารหรือพึ่งพาตนเองได้ผ่านการผลิตในเมืองเพียงอย่างเดียว ความเชื่อมโยงระหว่างเมืองและชนบทยังคงมีความสำคัญต่อสุขภาพของระบบอาหารในเมือง ประชากรในเมืองมีแนวโน้มที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ผลิตอาหารในชนบทต่อไป และผู้ผลิตในชุมชนชนบทมีแนวโน้มที่จะค้นหาโอกาสทางการตลาดภายในประชากรของชุมชนเมืองต่อไป

บทสรุป: การสร้างระบบอาหารท้องถิ่น

ระบบอาหารในท้องถิ่นมีประโยชน์มากมายสำหรับเกษตรกร ผู้บริโภค และชุมชน แต่การพัฒนาระบบอาหารขึ้นมาใหม่ในพื้นที่ท้องถิ่นนั้นต้องใช้ความรู้ ทักษะ และความพยายามที่หลากหลาย  ทั่วทั้งรัฐมิสซูรีและทั่วประเทศ เกษตรกรและนักวิจัยกำลังทดลองกับพืชผลชนิดใหม่ๆ เทคนิคการจัดการดินแบบใหม่ ตลอดจนพันธุ์ปลูกและสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถช่วยตอบสนองความต้องการของตลาดในท้องถิ่นได้  ธุรกิจต่างๆ กำลังตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่นและพัฒนาความสัมพันธ์กับเกษตรกรในท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นให้มีการขายสินค้าในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ผู้จัดจำหน่ายอาหารกำลังพัฒนากลยุทธ์ใหม่ในการผลิตและส่งมอบอาหารที่มาจากท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเกษตรกรในการรับประกันความปลอดภัยของอาหาร บุคคล กลุ่มผู้บริโภค และผู้ให้การสนับสนุนด้านอาหารกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยเรียกร้องให้มีความพร้อมเพิ่มขึ้น ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับความสำคัญของการกินในท้องถิ่นและสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพ สดใหม่ และอาหารท้องถิ่นจากเกษตรกร

ระบบอาหารในท้องถิ่นยังต้องการโครงสร้างพื้นฐานประเภทต่างๆ ตั้งแต่โรงบรรจุและคัดเกรดขนาดเล็กในฟาร์ม ไปจนถึงศูนย์กลางอาหารและรูปแบบการจัดจำหน่าย ไปจนถึงสถานที่จัดเก็บใหม่หรือพื้นที่ค้าปลีก  เนื่องจากระบบอาหารในท้องถิ่นโดยทั่วไปมีขนาดเล็ก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เข้าร่วมจะต้องตรวจสอบกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของอาหาร สิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างละเอียดถี่ถ้วน การศึกษาตั้งแต่การผลิตในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงการปรุงอาหารสดจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเกื้อหนุนและเสริมสร้างระบบอาหารในท้องถิ่น

ระดับ 0ประโยชน์ความท้าทาย
ผู้บริโภครสชาติอาหารแต่ละอย่างสามารถระบุได้ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงอาหารอาจลดลงอาจสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับอาหารของตัวเองได้ต้องการความรู้และทักษะ เวลา พื้นที่ และเงินทุนสำหรับเตรียมเครื่องมือและทรัพยากรอื่นๆ
ผู้ผลิตผู้บริโภคที่ปลูกผักหรือล่าสัตว์มักจะชื่นชมความพยายามในการผลิตอาหารมากกว่า ดังนั้นจึงยินดีจ่ายเพื่อซื้ออาหารคุณภาพสูงที่ปลูกในท้องถิ่นการทำสวนผักสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาที่จะผลิตอาหารในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะเพิ่มจำนวนเกษตรกรที่สามารถให้ผลผลิตในท้องถิ่นได้เกษตรกรที่อยู่ในระบบอาหารท้องถิ่นก็มักจะผลิตอาหารไว้ทานเองอยู่แล้วผู้ที่ปลูกผักเองอาจซื้อสินค้าจากเกษตรกรในท้องถิ่นน้อยลง
ชุมชนสวนผักในบ้านช่วยเพิ่มปริมาณอาหารที่มีอยู่ในพื้นที่สวนผักชุมชนช่วยเพิ่มการเข้าถึงอาหารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เกษตรกรมักจะแชร์ทักษะและเขื่อมเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกันการทำสวนผัก การล่าสัตว์ และการถนอมอาหารสามารถช่วยส่งเสริมและรักษามรดกของชุมชนผ่านการปรุงอาหารหรือวิธีการผลิตแบบดั่งเดิมรัฐบาลท้องถิ่นอาจต้องพิจารณานำกฎเกณฑ์การวางแผนหรือการแบ่งเขตมาใช้เพื่อสนับสนุนหรือส่งเสริมพื้นที่ผลิตอาหารแทนสนามหญ้าแบบดั้งเดิมและที่กล่าวถึงปัญหาด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับปศุสัตว์ในเขตเมืองหรือปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดของเมือง
ระดับ 1ประโยชน์ความท้าทาย
ผู้บริโภคการสื่อสารโดยตรงกับผู้ผลิตส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านอาหารการซื้อขายที่ตลาดท้องถิ่นสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับแหล่งผลิตตลาดมักไม่ได้เปิดทุกวันและเปิดทำการในบางสถานที่เท่านั้น จึงไม่สะดวกสำหรับผู้บริโภคที่มีเวลาจำกัดผู้มีรายได้น้อยอาจเข้าถึงผลผลิตได้อย่างจำกัด เนื่องจากสินค้าอาจมีราคาสูง และตลาดมักตั้งอยู่ไกลจากย่านใกล้เคียง
ผู้ผลิตต้นทุมมีความเสี่ยงต่ำสำหรับการตลาดทางตรง  เกษตรกรสามารถขายในราคาปลีกมากกว่าราคาส่งผู้ผลิตสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับท้องถิ่น ผู้คนที่ตลาดเกษตรกร สมาชิก CSA หรือแผงขายของในฟาร์มผู้ผลิตในท้องถิ่นสามารถทดสอบผลผลิตใหม่ได้ง่ายกว่าเกษตรกรที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะรับมือกับผลิตภัณฑ์ในปริมาณน้อยการพัฒนาการตลาดแบบตัวต่อตัวอาจต้องใช้เวลามากการจ้างงานเต็มเวลามักไม่เป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากความพร้อมของผลผลิตตามฤดูกาลตลาดต้องการทักษะการจัดการที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ CSA  เกษตรกรต้องผลิตพืชผลที่หลากหลายในปริมาณน้อย
ชุมชนการพัฒนาความสัมพันธ์ในสายงานการผลิตและการขายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในชุมชน และสร้างความเข้าใจและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการในท้องถิ่นการผลิตในท้องถิ่นสามารถเพิ่มการดูแลที่ดินผ่านการพึ่งพาวิธีการผลิตทางเลือกสำหรับชุดพืชผลและปศุสัตว์ที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพตลาดของเกษตรกรอาจดึงดูดลูกค้าให้มาอุตหนุนที่ธุรกิจในท้องถิ่นชุมชนต้องมีการสนับสนุนองค์กรและลูกค้าเพียงพอที่จะรักษาตลาด  ตลาดแข่งขันกันเพื่อผู้ขายในพื้นที่ที่มีเกษตรกรน้อยหรือผู้ผลิตรายย่อยชุมชนอาจต้องเติมเต็มโอกาสทางการตลาดแก่เกษตรกรที่มีจำนวนมากเกินไป
ระดับ 2ประโยชน์ความท้าทาย
ผู้บริโภคร้านค้าจำนวนมากขึ้นจะจำหน่ายอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นซึ่งรวมคุณค่าที่ผู้บริโภคต้องการ เช่น ความยั่งยืน มีมนุษยธรรม อาหารหญ้าหรือออร์แกนิก ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นในการซื้ออาหารที่ปลูกในลักษณะที่สอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขาข้อมูลผลิตภัณฑ์อาจมาจากการอ้างสิทธิ์ในฉลากผลิตภัณฑ์และการตลาดผลิตภัณฑ์ มากกว่าที่จะมาจากผู้ผลิตอาหารโดยตรงผู้บริโภคไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเกษตรกรที่สามารถพูดคุยถึงคำถามหรือปัญหาได้
ผู้ผลิตตลาดค้าส่งในภูมิภาคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของอาหารและส่งผลิตภัณฑ์ไปยังลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้ฟาร์มลดต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยต่อหน่วยได้เกษตรกรมีโอกาสที่จะกระจายช่องทางการตลาดเกษตรกรอาจต้องลงทุนจำนวนมากในอุปกรณ์ในการคัดแยก บรรจุ แปรรูป และจำหน่ายผลิตภัณฑ์  การตัดการเชื่อมต่อที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเกษตรกรกับผู้บริโภคอาจลดผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นหากการเป็นหุ้นส่วนไม่ประสบความสำเร็จ  ขายในราคาขายส่งมากกว่าราคาขายปลีกอาจให้ผลกำไรโดยรวมน้อยลง
ชุมชนธุรกิจจำนวนมากสามารถสร้างความแข็งแกร่งหรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้ รวมถึงผลิตผลและผู้จัดจำหน่ายอาหารอื่นๆ โรงฆ่าสัตว์ และผู้แปรรูปเนื้อสัตว์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ร้านอาหารท้องถิ่น ซัพพลายเออร์บรรจุภัณฑ์ และซัพพลายเออร์บุคคลที่สามสิ่งอำนวยความสะดวกและกระบวนการมีความจำเป็นในการประมวลผล บรรจุ และจัดเก็บผลิตภัณฑ์ และเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายจากฟาร์มในท้องถิ่นและผู้ผลิตอาหารไปสู่ธุรกิจในท้องถิ่น

Reference

https://cdn.fbsbx.com/v/t59.2708-21/270885719_1550890731951811_4204104740171468654_n.pdf/dm0271.pdf?_nc_cat=105&ccb=1-5&_nc_sid=0cab14&_nc_eui2=AeG3Iv-NxIcoZf16wk14KepmNqdl6keI_Bg2p2XqR4j8GLlIP_z7rNfbb1S3E6-jplJRYzDSnDQx0TqRkw7K3jVB&_nc_ohc=Rlfngu1wh1oAX_X09ps&_nc_ht=cdn.fbsbx.com&oh=03_AVJSKEd0yGuuVSMpkPQENiPYGmXBJsc4Ot-iJ11uKodYjA&oe=61E7C023&dl=1