ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอเมริกานับล้านนาย ได้ทำสวน “Victory gardens” ที่สนามด้านหลังซึ่งสุดท้ายก็ได้ใช้เป็นเสบียงอาหารของประเทศโดยร้อยละ 40 เป็นผักและผลไม้ที่ปลูกจากท้องถิ่น ครั้งหนึ่งเมื่อสงครามจบแล้วสวนผักในเมืองก็เริ่มเหี่ยวแห้งหายไป และเกษตรกรรมขนาดใหญ่ที่เน้นการผลิตที่ได้ประสิทธิภาพในชนบทก็มาแทนที่
แต่การทำโครงการนี้สมเหตุสมผลไหม? หรือนี่คือผลประโยชน์ของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่จะสร้างอาหารภายใต้ข้อจำกัดของเมือง?
หรือสวนผักในเมืองมีความหมายแค่เป็นงานอดิเรกที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยสำหรับชนชั้นนำที่อาศัยอยู่ในเมือง
หนึ่งสิ่งที่ดีที่สุดจากการสำรวจที่ผู้เขียนเคยเห็นสำหรับหัวข้อนึ้ คือ เปเปอร์ โดย Raychel Santo, Anne Palmer, and Brent Kim จาก Johns Hopkins Center for a Livable Future ในเปเปอร์ ผู้เขียนนั้นสงสัยเกี่ยวกับการเน้นสุ่มเลือกสวนผักบริเวณที่อยู่แถวเมือง ซึ่งมันสามารถฟื้นฟูสภาพชุมชนที่แห่งเหี่ยวให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การพูดหรือการช่วยในการต่อสู้กับความไม่มั่นคงทางอาหาร ที่ซึ่งผู้เขียนได้ดำดิ่งลงไปเจาะลึกในงานวิจัยนี้
การพัฒนาอะไรจะการเป็นภาพที่เหมาะสม สวนผักในเมืองนั้นแม้จะไม่สามารถผลิตอาหารรองรับให้เมืองได้ทั้งหมด และผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นสิ่งที่ถกเถียงกัน แต่สวนผักในเมืองสามารถที่ยังให้กำไรที่ไม่ได้เยอะอะไร แต่ก็ดูเหมาะสมจากการช่วยเหลือกันในยามทุกข์ร้อนของชุมชนท้องถิ่น บางครั้งจะสนับสนุนอาหารสุขภาพ พวกเขาสามารถต้องให้ข้อมูลแก่ผู้อยู่อาศัยให้ยอมรับความจริงเรื่องระบบอาหารของเราทำงานอย่างไร ที่ซึ่งมีความคลุมเครือน้อยกว่ากว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
“พวกเราไม่เคยได้ผลประโยชน์จำนวนมากจากการทำเกษตรในเมือง” Santo บอกกับผู้เขียน “แต่พวกคุณต้องมีความระมัดระวัง ไม่ทำอะไรเกินตัว ถ้าการเกษตรในเมืองสามารถขายได้เหมือนบางสิ่งที่จะสร้างงานหรือสามารถป้อนอาหารให้คนทั้งเมือง และถ้าไม่เป็นแบบนั้น การสนับสนุนต่างๆจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉันไม่สามารถตัดสินว่าเปเปอร์นี้เป็นอย่างไร มันมีการรีวิวข้อมูลทั้งข้อดีข้อเสียอย่างระมัดระวัง ของสวนผักในเมืองหลายๆประเภท แต่มีอยู่ 4 ประเด็นที่มันกระแทกเข้ามาอยู่ในหัวฉัน :
1) สวนผักในเมืองจะต้องไม่ผลิตอาหารให้กับเมืองทั้งเมือง – แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นจริงๆ
มันเหมือนขัดกับความรู้สึก แต่ในเส้นทางจำนวนมากของอาหารที่ถูกปลูกในสวนผักชุมชนและสวนผักในเมืองทุกวันนี้มีความสำคัญน้อยมากที่สุดในการกระจายอาหาร
ซึ่งมันไม่ใช่เคสปกติ ช่วงเริ่มแรกของสวนผักในเมืองมีจุดประสงค์ในการตั้งขึ้นมาอย่างชัดเจน คือการบรรเทาความขาดแคลนของอาหาร หลังจากความวุ่นวายในปี 1893 นายกเทศมนตรีของเมือง Detroit ได้พูดกระตุ้นผู้อยู่อาศัยที่อยู่อย่างอดอยากให้มาปลูกมันฝรั่งในพื้นที่ว่าง เป็น Victory gardens ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนของใช้ที่จำเป็น ผัก ผลไม้ ในช่วงเวลาสงคราม
แต่ประเทศอเมริกาไม่ได้เผชิญผลของการขาคแคลนอาหารทั่วโลก อุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่ได้มีความการขยายตัวอย่างมาก และพวกเราในปัจจุบันก็ยังคงผลิตอาหารได้จำนวนไม่แน่นอนอยู่ทุกปี เพื่อความแน่นอน เรามีปัญหาจริงจังมากเกี่ยวกับระบบอาหารของเรา ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงอาหารที่ราคาไม่แพง อาหารสุขภาพ และพวกเราสามารถถกเถียงว่าจะปลูกผักผลไม้ให้มากขึ้นและปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองน้อยลงแต่ต้องไม่เกิดสภาวะขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูก
อะไรที่มากกว่า? เมืองจำนวนมากถูกสร้างข้อจำกัดในเรื่องของปริมาณอาหารที่ผลิตจะสามารถเพิ่มขึ้นได้เท่าไหร่ หนึ่งในงานศึกษาของเมือง New York พบว่าตัวบ่งชี้ในทุกๆปีที่ผ่านมฟาร์ม หรือสวนผักจำนวนมากมีกำลังผลิตอาหารเลี้ยงคนได้เพียง 160,000 คน จากคนในเมืองทั้งหมด 8.1 ล้านคน คุณสามารถเพิ่มจำนวนได้ในเมืองอย่าง Detroit หรือ Cleveland ที่ซึ่งประชากรกำลังลดลงและพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้น แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ที่การทำเกษตรในเมืองจะสนับสนุนอาหารได้มากกว่าอาหารส่วนน้อยจากพื้นที่ได้จากส่วนมาก
ความหวังที่จับต้องได้มากกว่าคือสวนผักชุมชนและสวนผักในเมืองสามารถจัดการอาหารให้กับครอบครัวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มาจากแหล่งผลิตที่ปลอยภัย และราคาถูก และมันยังเป็นเป้าหมายที่คุ้มค่าด้วยตัมันเอง และมีหลักฐานบางอย่างที่ทำให้ผู้คนมารวมตัวกันที่สวนผักในเมือง กินผักผลไม้มากขึ้น (ครอบครัวที่มักเข้ามามีส่วนร่วมคือครอบครัวชนชั้นสูงและกลาง มันจริงที่ว่าสวนผักในเมืองทำรายได้น้อย แต่มันสามารถอยู่ได้ และยังคงต้องมีอยู่
แม้กระทั่งที่นี่ นักเขียนจาก John Hopkins ได้เขียนไว้ว่า ผลกระทบจากการกินอาหารมันเหมือนกับสิ่งที่ค่อนข้างสงบเสงี่ยมในแผนการใหญ่ของบางสิ่ง “ผู้เชี่ยวชาญได้ต่อสู้กับการเพิ่มของการบริโภคอาหารโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบโดยรวมที่จะเกิดขึ้นต่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชน หรือแม้กระทั่งคุณภาพของการบริโภคอาหาร
ดังนั้นถ้าพวกเราต้องการจริงๆที่จะเข้าใจประโยชน์ของสวนผักในเมือง พกวเราจะต้องมองให้เหนือเรื่องอาหารไป “ความมั่นคงทางอาหารไม่ใช้เป้าหมายแรก แต่เป็นการมีส่วนร่วมของผู้คนและผู้สนับสนุนสวนผักชุมชนและสวนผักในเมืองที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุด และไม่ควรจะโปรโมตเยอะเกินไป” ผู้เขียนกล่าว
2) ผลประโยชน์ของสังคมจากสวนผักคนเมืองสามารถเพิ่มพูนได้ – แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีการแชร์

มันนำมาซึ่งความเป็นไปได้ของประโยชน์ทางสังคมจากสวนผักในเมือง ตัวเลขเมืองอุตสาหกรรมเก่า อย่าง Cleveland หรือ Detroit ได้ผลักดันสวนผักและฟาร์มชุมชนเพื่อเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์รอบๆบ้านที่พังทลาย และยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสวนผักในเมืองนั้นค่อนข้างมีคุณค่าที่นี่
ผู้เขียนจาก John Hopkins อ้างถึงผลการศึกษาที่แสดงตัวเลขจำนวนสวนผักในเมืองที่ได้มีจำนวนสวนผักในเมืองที่จัดการด้วยแนวคิดพัฒนาสุนทรียภาพให้กับสภาพแวดล้อมในชุมชน การลดอาชญากรรม และความสัมพันธ์ที่ดีของชุมชน เมื่อสวนผักชุมชนถูกตั้งขึ้นมาในชุมชน มูลค่าทรัพย์สินในละแวกนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นปกติ (มันสามารถบอกได้ว่ามันเป็นการเพิ่มอุปสรรคให้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและการไล่รื้อที่ในเขตชุมชนคนรายได้น้อย)
งานวิจัยอื่นๆ พบว่าสวนผักชุมชนสามารถเพิ่มสายสัมพันธ์ทางสังคมของเครือข่ายเพื่อนบ้าน และชาวบ้านที่ทำสวนผักด้วย โดยสวนผักเหล่านี้ผู้เขียนได้อธิบายว่า เป็น Bridge gaps ที่ลดความตึงเครียดที่มีอยู่ และประคับประคองการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มอื่นๆที่แยกตัวออกไปแล้วด้วย กิจกรรมการเตรียมดินเพื่อเพาะปลูกในเช้าวันเสาร์เป็นวิธีที่ดีในการรวมคนไว้ด้วยกัน อีกทั้งทำให้สุขภาพดีและเป็นการพักผ่อน
พวกเขามีเพียงช่วงขาขึ้นของรายได้น้อยมาก ขณะที่สวนผักในเมืองไม่ได้รับส่วนแบ่งค่าจ้างที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาสามารถทำหน้าที่ให้โอกาศการศึกษา การพัฒนาเยาวชน การฝึกทักษะแรงงาน “เมืองบางเมืองมีโครงการที่ใช้เกษตรในเมืองในการช่วยสอนคนรุ่มใหม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การดูแลสิ่งแวดล้อม และการกินอาหารสุขภาพ สวนผักในเมืองอื่นๆเสนอการฝึกทักษะแรงงาน ถึงแม้ว่า Santo พูดว่างานวิจัยในอนาคตนั้นต้องหาวิธีวัดการแลกเปลี่ยนทักษะแรงงาน
มันเป็นอุปสรรคใหญ่ ที่สวนผักในเมืองมักไม่ได้รวมคนที่สนใจจะทำ และมีการแบ่งชนชั้นขนาดใหญ่มาก จากตัวเลขที่ได้จากงานศึกษา ผู้เขียนของ John Hopkins ระบุว่า ได้ค้นพบสวนผักหรือฟาร์มในเมืองนั้นส่วนใหญ่นำโดยคนผิวขาวที่ไม่ใช่คนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งปกติจะเป็นคนผิวสีหรือละตินอาศัยเป็นส่วนใหญ่ การแบ่งคนที่เข้าร่วมจากสีผิวโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นหรืออาจเป็นการพยายามหาประโยชน์
ดังนั้นสวนผักในเมืองสามารถมีประโยชน์ให้แก่สังคมได้ไม่น้อย แต่ว่าสวนผักทั้งหลายไม่จำเป็นต้องถูกแชร์ออกไปในวงกว้างได้ “มันมีความจำเป็น ผู้อยู่อาศัยในชุมชนกำลังได้รับประโยชน์จากโครงการทำการเกษตรในเมือง ไม่ใช่แค่ความคิด แต่มันเต็มไปด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเป็นผู้นำและการตัดสินใจทำในสิ่งที่มีผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นการทำสวนผักในเมืองนั้นไม่ใช่แค่ของเล่นของชนชั้นนำ” ผู้เขียนได้สรุปกล่าวท้าย
3) สวนผักคนเมืองไม่จำเป็นต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเสมอไป
อุตสาหกรรมการเกษตรสมัยใหม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน ทั้งจากการเสื่อมสภาพของดิน ไปจนถึงการรบกวนวัฎจักรไนโตรเจน จากการใช้พลังงานของฟอสซิลสำหรับเครื่องจักรหนัก แต่ผู้เขียนระบุว่าไม่ได้หมายความว่าสวนผักในเมืองจะมีการพัฒนาอย่างชัดเจน
ผู้สนับสนุนบางคนชอบไอเดียเรื่องสถาปัตยกรรมในเมือง เพราะว่ามันเป็นการลดจำนวนระยะทาง (ไมล์) ที่อาหารต้องถูกขนส่ง การขนส่งคือความสัมพันธ์ของคาร์บอนฟู้ดปริ้นท์ภาคเกษตรกรรมที่ถูกแบ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ
จากงานศึกษาเรื่อง โครงการสวนผักในเมืองของสหราชอาณาจักร พบว่า มีการลดการปล่อยคาร์บอนจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอาหารของชุมชนไป 0.4 เปอร์เซ็นต์ (ถึงแม้ว่าไร่ทุ่งสามารถช่วยแยกคาร์บอนไดออกไซด์ได้) การลดการปล่อยก๊าซไห้ได้เยอะที่สุดคือต้องลดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ขนส่งด้วยเครื่องบิน เช่น ผลไม้ตระกูล Berry
และถ้ามองอีกด้านหนึ่ง มีงานศึกษาบางงานพบว่า ถ้าสวนผักในเมืองใช้ที่ดินในเมืองมากเกินไป มันจะสามารถเพิ่มความเลวร้ายให้กับสถานการณ์โลกร้อนเนื่องจากผลของการขับรถภาพรวม เมืองมีพื้นที่ที่แน่นอนเท่านั้น และบางครั้งสิ่งที่เป็นธรรมชาติสีเขียวมากที่สุดที่คุณสามารถทำได้ในพื้นที่ว่าง คือสร้างบ้านให้มากขึ้นและปลูกพืชในบ้านแทน และในมุมมองอีกหลายๆด้านเช่นกัน ผู้ปลูกในเมืองหลายคนใช้น้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง
มีการมองอีกมุมหนึ่งเพื่อพิจารณาเช่นกัน คนที่ปลูกผักในเมืองมักใช้น้ำ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง ได้ประสิทธิภาพน้อยกว่าการทำเกษตรกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ชนบทใช้ อุตสาหกรรมการเกษตรได้รับคำด่าคำตำหนิ แต่มันก็มีบางครั้งที่มันมีประโยชน์จริงๆต่อเศรษฐกิจ
ประโยชน์ของสวนผักในเมืองต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีความซับซ้อนมากกว่า เช่น การทำสวนผักแนวตั้งในที่ร่ม ที่ถูกยกมาเป็นทางเลือกในเรื่องของความยั่งยืนเนื่องจากมันใช้ดินและน้ำน้อยกว่า ถึงแม้ว่าการออกแบบที่แตกต่าง การติดตั้งสวนผักแนวตั้งสามารถใช้พลังงานจำนวนมาก โดยเฉพาะที่สวนผักต้องการแสงเทียม แต่มันก็แล้วแต่กรณี ดูได้จากงานวิจัยของ Paul Marks ในหนังสือ New Scientist สำหรับการค้นพบในอนาคต
การศึกษาที่หลากหลายพบว่าการทำเกษตรในเมืองลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมบางอย่างได้อย่างแจ่มชัด เช่น สวนผักชุมชนและการทำหลังคาสีเขียวสามารถช่วยกรองมลพิษทางอากาศในชุมชน ลดอุณหภูมิให้กับเมืองในช่วงฤดูร้อน เป็นการเร่งรัดการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ลดพายุน้ำที่มาจากทางน้ำ และด้วยการออกแบบที่ดีสวนผักในเมืองยังสามารถเป็นแหล่งอาศัยและอาหารของผึ้งป่าและยังเป็นแหล่งเกสรดอกไม้ต่างๆ
“มันยากที่จะพูดภาพรวมให้ครอบคลุมที่นี่” Santo บอกกับผู้เขียน เมื่อออกแบบเอาไว้ดี สวนผักในเมืองสามารถเติบโตไปอย่างเจียมตัว แต่เป็นการพัฒนาที่มีค่าสำหรับความยั่งยืนของระบบอาหาร แต่ถ้ามีการออกแบบไว้ไม่ดีมันจะยิ่งสร้างผลกระทบที่เลวร้ายต่อสิ่งแวดล้อม มันอาจเกิดมลพิษในแหล่งน้ำใกล้ๆจากการรั่วซึมของ Nitrogen ที่มาจากการใช้ปุ๋ยอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
4) การเรียนรู้ประเด็นเล็กๆของสวนผักในเมือง – พวกมันสามารถสอนเราให้เห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น
ในบทสนทนาของพวกเรา Santo ได้กล่าวถึงลักษณะเฉพาะหนึ่งอย่างของสวนผักในเมืองที่มักถูกยกมาเปรียบเทียบในการถกเถียงเรื่องนโยบาย “พวกเขาสามารถเชื่อมต่อใหม่กับผู้คนที่รู้วิธีการผลิตอาหาร”
นั่นคือ ผู้คนที่มีส่วนร่วมในสวนผักชุมชนได้เรียนรู้การปลูกพืชผลที่แตกต่างจากเดิม และรับรู้แต่ละชนิดมีความยากในการปลูกอย่างไร พวกเขาสามารถเข้าใจในเรื่องของรสชาติของผักผลไม้แต่ละชนิดที่เป็นส่วนน้อยของร้านขายของได้ดียิ่งขึ้น พวกเขาสามารถเรียนรู้ว่าทำไมจึงมีของเสียจากอาหาร พวกเขาสามารถพบกับมือแรกของการเข้าการออกที่ซับซ้อน ระบบที่จำเป็นที่พวกเราเกือบทั้งหมดได้สูญเสียสัมผัสด้วย
Nathanael Johnson จาก Grist เขียนบทความที่ยอดเยี่ยมมากเกี่ยวกับสัดส่วนของสวนผักในเมือง และเขาได้อ้างถึงเรียงความของ Jason Mark ที่เขียนลงในหนังสือ Gastronomica เมื่อปี 2012 ซึ่งได้ให้ความสนใจไปที่ ระยะเวลาในการเพาะปลูกว่า “เราใช้เวลาสองถึงสามเดือนเพื่อนำเมล็ด Brocoli ไปเพาะปลูก และเราจะได้เข้าใจระบบของธรรมชาติในเรื่องที่เราสนใจได้ดียิ่งขึ้น การเชื่อมต่อของเราสู่โลกกลายเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจจนรู้คุณจะรู้สึกได้ เมื่อคุณได้เฝ้ามองการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ (หรือมันอาจจะไม่โตก็ได้) ”
Marks ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ บางที การทำเกษตรในเมืองไม่ใช่อะไรที่มีค่ามากที่สุดว่ามันมีอะไรมาบังคับเราให้รู้สึกดีมากขึ้นกับผู้คนที่เป็นแรงงานผลิตอาหารมาป้อนพวกเรา เหล่าแรงงานในภาคเกษตรกร คนขับรถบรรทุก แรงงานในการผลิต คนห่อสินค้า คนเตรียมอาหารสำเร็จรูป พวกเขาเหล่านี้ทำงานสำหรับอนาคตที่ไม่มีจริงของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังพอมีเวลานิดหน่อยในการเล่นดินเล่นทราย ”
ความเข้าใจผิดที่แสนโรแมนติด คือมันค่อนข้างยากที่จะต้องระบุจำนวนในการศึกษา ถึงแม้ว่านักวิจัยจะพยายามอย่างมากแล้วแน่นอนในเรื่องนี้ โดย Santo ได้อ้างถึงที่เธอชอบจากการสำรวจว่าผู้คนประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะเพื่อเพิ่มสวนผักในเมืองในพื้นที่อื่นๆ พวกเขาหันมาสนใจการเมืองมากขึ้นจริงหรือ ? พวกเขากำลังผลักดันการปฏิรูปอาหารในมิติที่กว้างขึ่นจริงไหม ? ตอนนี้ มันค่อนข้างยากที่จะอธิบาย แต่สวนผักในเมืองจะคงรักษาและกระจายตัวไปทั่วประเทศ นี่อาจจะเป็นการปิดเพื่อก่อผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้าย